เวลาพูดถึงการสวดมนต์ ให้เป็นบุญ ควรต้องแบ่งระดับ การสวดมนต์ด้วย
1.ในระดับเบื้องต้น คนทั่วไป ก็มีการสวด ขับกล่อม ใช้เครื่องดนตรี ประกอบ มีจังหวะ ท่วงทำนอง อันนี้เหมาะสม สำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อสร้างสมอุปนิสัยในทางธรรม
2.ในระดับกลาง ไม่ควรใช้เครื่องขับกล่อม และเครื่องประโคมดนตรี อันเป็นข้าศึกกับกุศล คงใช้เสียงประกอบเป็นจังหวะ เสียงเดียว เสียงกระทบ เช่นกระดิ่ง ระฆัง ไม้เคาะ
3.ในระดับสูง ไม่ควรใช้เลย เพราะเมื่อใช้ประกอบการสวด ย่อมประกอบด้วยตัณหา เป็นข้าศึกต่อ จิตที่มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ทำให้จิตตกข้างฝ่าย กุศล ปรุงแต่งตาม
ที่นี้การสวด ดูความจำเป็น ในทางภาวนาใช้การสวดเป็นการบริกรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าสวด
การสวดภาวนามีอยู่ สองแบบ
1.สวดใช้ คือ บริกรรมด้วยความเร็วที่เหมาะสม เช่นการสวดไปเรื่อย ๆ เป็นต้น
2.สวดฝึก คือ การภาวนา ประสานจิตให้เป็นสมาธิ กับคำบริกรรม มีการปรสานจิต กับฐานจิต
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย เข้าใจในส่วนนี้ด้วย
การสวดมนต์เป็นบุญอยู่แล้ว แต่ต้องดู สภาวะเพศด้วย ถ้าเป็นฆราวาส จะสวดแบบร้องเพลงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นพระสงฆ์สามเณรแล้ว ต้องพึงระวังการ เจื้อยแจ้วเสียงด้วย เท่าที่พบกับพระที่สวดด้วยเสียงเื้อื้อน เสียงแหล่ หลายรูป ทั้งระดับประเทศ จังหวัด วัด เท่าที่พบยังติดในเสียงทั้งหมด ไม่ได้ติดในธรรม มีการภาวนาอยู่ในขั้นเทวดาเป็นส่วนใหญ่ อันนี้สำหรับที่อาตมา ได้พบ ดังนั้นส่วนตัวไม่นิยมให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุ สามเณรสวดเอื่้่อนเสียง ถึงแม้จะดูว่าเป็นการสืบสานประเพณี ก็ขอให้ พระภิกษุึสามเณร รูปอื่น ที่ไม่ใช่ศิษย์ทำก้แล้วกัน
เจริญพร / เจริญธรรม