« เมื่อ: มีนาคม 09, 2012, 12:45:20 pm »
0
โรคกรรมหรือโรคกายเรื่องโดย ท่าน ว.วชิรเมธี ขณะนี้หนูป่วยเป็นโรคที่วินิจฉัยชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร
เดือนนี้เป็นเดือนที่สิบแล้วค่ะ
ช่วงสามเดือนแรกที่เป็น หนูไปโรงพยาบาลอาทิตย์ละ ๒-๓ ครั้ง
บางครั้งก็มากกว่า เพื่อตรวจหาอาการ ทั้งทางสูติฯ ทางเดินอาหาร
แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จนคุณหมอทางเดินอาหารแนะนำให้ไปพบแพทย์ทางด้าน Pain
เพราะหนูปวดบริเวณช่องท้องด้านล่างค่ะ
สุดท้ายคุณหมอสรุปว่าเป็นโรค Visceral Hyperalgesia
ซึ่งเป็นการปวดเรื้อรังจากปลายประสาท
ช่วงแรกที่ป่วย หนูไม่ได้คิดอะไร นอกจากเมื่อไรจะหาย
เพราะมันทรมานและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากค่ะ
สุดท้ายไปดูดวงเขาบอกว่าอาการของหนูจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ดีขึ้น
ไม่แย่ลงหนูเลยกลับมานั่งคิดว่า ที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะกรรมที่หนูก่อขึ้นมาเอง
หนูเคยทำแท้ง 2 ครั้งค่ะ ครั้งแรกตอนอายุ 17 กับแฟนคนแรก
ด้วยความที่ยังเด็กจึงไม่ระวังเท่าที่ควร ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า จะให้พ่อแม่รู้ไม่ได้
สำหรับแฟนเองก็ไม่ได้มีความคิดแม้กระทั่งว่าจะแต่งงานกัน
ถึงแม้หนูจะแอบหวังว่า เขาจะรับผิดชอบ แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการ
สุดท้ายจึงเลิกกัน เพราะหนูทนอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ได้
ส่วนครั้งที่สองตอนหนูอายุประมาณ 22-23 กับแฟนที่เป็นคนไต้หวัน
คราวนี้หนูยอมรับค่ะว่าประมาท เพราะช่วงที่ยังไม่รู้ว่าท้องก็ทานยาไปเยอะเหมือนกัน
บวกกับความรู้สึกว่าเราไม่ได้รักผู้ชายคนนี้และไม่พร้อมจะสร้างครอบครัวกับเขา
แม้ว่าแฟนคนนี้มีความคิดที่จะแต่งงานกับหนู
แต่เขาเองก็กลัวและไม่กล้าบอกพ่อแม่หนูด้วย ทำให้หนูตัดสินใจเอาเด็กออก
หนูค่อนข้างมั่นใจว่าโรคที่หนูประสบอยู่เกิดจากกรรมที่หนูได้ทำไป
ถึงแม้หนูจะเกิดมาในครอบครัวที่สบาย อบอุ่น
แต่หนูก็ได้ทำในสิ่งที่หนูจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
รวมถึงเมื่อหนูได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หนูก็คงต้องชดใช้กรรมต่อในภพภูมิอื่น
ตลอดหลายปีที่ปีที่ผ่านมา หนูอธิษฐานแผ่ส่วนบุญ
ขออโหสิกรรมให้กับดวงวิญญาณที่เป็นลูกของหนูทั้งสองดวง
ในทุกครั้งที่เข้าวัดทำบุญขณะเดียวกัน หนูก็จะทำบุญทำทานให้เด็กๆ ในทุกวันเกิด
แต่กระนั้นหนูก็ทราบดีว่าอาจจะยังไม่เพียงพอ
หนูเคยลงไปเข้าคอร์สนั่งสมาธิสามวันสองคืน ยอมรับค่ะว่าหนูไม่ถนัด
หรือจะเรียกว่าไม่ชอบเลยก็ได้ หนูเลยพยายามทำบุญด้วยวิธีอื่นๆ ให้ได้มากที่สุดค่ะ
หนูอ่านบทความเรื่อง “พุทธศาสนากับการุณยฆาต” ของท่าน ว.
ใน secret หน้าปกคุณวอลเตอร์ ลี
เลยทำให้หนูอยากเรียนขอคำแนะนำที่จะทำให้หนูได้ชดใช้กรรมที่หนูทำ
หนูทราบค่ะว่าเป็นบาปมหันต์
แต่หนูขอแค่ให้ได้ชดใช้กรรม ผ่อนหนักเป็นเบา และดีขึ้นจากโรคภัยที่หนูเป็น
อีกหนึ่งเรื่องที่หนูเป็นกังวล คือหนูกำลังจะแต่งงานปลายปีนี้
หนูกลัวมากค่ะว่า ถ้าหนูท้อง ลูกของหนูจะไม่ปกติ เพราะกรรมของหนู
หนูไม่อยากให้กรรมที่หนูทำต้องไปตกกับลูกของหนูและครอบครัวค่ะ
หนูกราบขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ความจริงความเป็นไปในชีวิตของคนเรา
ขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติ (ธรรมนิยาย) หลายกฎ
แต่กฎที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราโดยตรงมีอยู่สองกฎ
นั่นก็คือ จิตนิยาม (กฎการทำงานของจิต) และกรรมนิยาม (กฎแห่งกรรม)
แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ
ว่ามีส่วนกำหนดวิถีชีวิตของเราด้วยเหมือนกัน
เวลาเกิดมีปัญหาอะไรในชีวิตขึ้นมาเราจึงมักสรุปเอาอย่างง่ายๆ
ว่าเป็นเพราะ “กฎแห่งกรรม” เพียงอย่างเดียวทั้งๆที่ในความเป็นจริง
ความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนเราอาจเป็นผลมากจากกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ ด้วยก็ได้
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะวินิจฉันกันว่าเรื่องของคุณเป็นผลของกฎแห่งกรรมหรือเปล่า
เราก็ควรจะมารู้จักกฎธรรมชาติข้ออื่นๆ ด้วย
กฎธรรมชาติที่มีผลต่อวิถีชีวิตของคนเรามีอยู่ด้วยกัน 5 กฎ
เรียกว่า “นิยาม” ประกอบด้วย
1. อุตุนิยาม
คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพดินฟ้าอากาศ
ซึ่งมักส่งอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนเราในแง่ใดแง่หนึ่ง
เช่น คนอีสานมักมีนิสัยสู้ชีวิตมากกว่าคนภาคเหนือ เพราะอีสานมีความกันดาร
ในขณะที่ภาคเหนือมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรมากกว่า
หรือคนภาคใต้มีความคิด ทางการเมืองมากกว่าคนทุกภาค
เพราะสภาพแวดล้อมที่ถูกกดขี่หรือถูกระทำมีมากกว่าคนภาคอื่น
หรือชาวยุโรปมีนิสัยรักการอ่ามากกว่าคนเอเชีย
เพราะยุโรปมีอากาศหนาวที่ยาวนานเขาจึงขลุกอยู่ในบ้าน
และนั่นเปิดโอกาสให้ได้อ่านมาก เพราะมีเวลาอยู่ในที่ร่มมากกว่าคนทางเอเชีย
ตัวอย่างเหล่านี้คือผลของสิ่งแวดล้อม ที่มีส่วนเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของเราแต่ละคน
2. พีชนิยาม
คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการสืบต่อพันธุกรรม
คือ โครงสร้างทางกายภาพที่เราได้รับมาจากพ่อแม่
เช่น ร่างกาย ผิวพรรณ หน้าตา เพศสภาพ (ชายหรือหญิง)
ระบบการทำงานของอวัยวะ รวมทั้งโรคบางโรคที่ติดต่อได้ทางพันธุกรรม
ซึ่งสามารถส่งผ่านจากพ่อหรือแม่สู่ลูกเป็นต้น
3. จิตนิยาม
คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการทำงานของจิต เช่นกระบวนการคิด การจำ การรับรู้
การตอบสนองต่อโลกและปรากฏการณ์ การเก็บกดปมปัญหา การตื่นรู้ เป็นต้น
4. กรรมนิยาม
คือ กฎธรรมชาติว่าด้วยการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา
และผลของการกระทำนั้นๆ ซึ่งเป็นไปในลักษณะหว่านพืชเช่นใดได้ผลเช่นนั้น
5. ธรรมนิยาม
คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในโลก ( Cosmic Law )
ในลักษณะสรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน
เกี่ยวเนื่องกันในลักษณะห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์
ทำให้เราได้ตระหนักรู้ว่า
ไม่มีสิ่งใดในโลกดำรงอยู่อย่างเอกเทศโดยไม่เกี่ยวข้องเชื่อมโยมกับสิ่งใดเลย
กฎธรรมชาติทั้ง ๕ นี้ หนูควรรู้เอาไว้เป็นความเข้าใจพื้นฐานว่า
ชีวิตของเราใช่จะเป็นไปตามกฏแห่งกรรมเท่านั้น ยังมีกฎอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย
เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว
ในทางปฏิบัติ หนูก็จะสามารถดูแลตัวเองอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
เช่น บางทีผลของโรคอาจเกิดจากกฏพีชนิยาม
ซึ่งเป็นเรื่องความผิดปกติของร่างกายหรือ พันธุกรรมก็เป็นได้
ถ้ามองในแง่นี้ หนูก็จะไม่ทิ้งการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันแต่ขณะเดียวกัน
ก็อาจเป็นผลของกรรมด้วยก็เป็นได้
ซึ่งหากมองแง่นี้หนูก็จะได้กลัวบาปกลัวกรรม ไม่เผลอทำผิดซ้ำซาก
แต่ถ้าหนูฟังธงลงไปว่า โรคที่เกิดกับฉันเป็นผลของกรรมแน่ๆ
หนูก็จะ (เข้าใจผิดๆเพียงแง่เดียว) แล้วมุ่งไปที่การแก้กรรม
และติดจมอยู่กับ “อดีตกรรม” ไม่รู้จบสิ้น จะแก้ก็ไม่ได้
เพราะมันเป็นความผิดในอดีต จึงต้องทนอยู่กับ “ความรู้สึกผิด” วันแล้ววันเล่า
นี่แหละที่กล่าวกันว่า “ปล่อยให้อดีตมากรีดปัจจุบัน” แต่ครั้นไม่เชื่อกรรมเลย
หนูก็จะมุ่งรักษาแบบสมัยใหม่อย่างเดียว
แต่ยิ่งรักษากลับพบว่าไม่ดีขึ้นชีวิตก็มองไม่เห็นทางออกอีกเช่นกัน
ทางสายกลางในเรื่องนี้ก็คือ ความป่วยของหนูมีสิทธิ์เป็นไปได้ที่ว่า
อาจจะเป็นผลของทั้ง “กรรม” และ “กาย” มาบรรจบกัน
ดังนั้นในทางกายก็ควรให้หมอดูแลรักษาไปตามกรรมวิธีของแพทย์
ส่วนใจ (ที่หมกมุ่นกับความรู้สึกผิด)
หนูก็ต้องรักษาด้วยการหาธรรมะมาเยียวยาด้วยตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรบอกตัวเองว่า
ในฐานะที่เป็นปุถุชน ทุกคนมีสิทธิ์พลาดกันได้
แต่เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่ปล่อยให้เกิดซ้ำอีก
และควรฝึกการเจริญสติให้มาก เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่เหนือกรรม
ด้วยการไม่หลุดเข้าไปในความคิดฟุ้งซ่าน
เพราะในความคิดฟุ้งซ่าน กรรมเก่าจะมีบทบาทมาก
ด้วยเหตุนี้จึงควรระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันไว้เสมอ เมื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้
หนูจะพบความสุขในปัจจุบันขณะ และไม่ท้อแท้กับการสู้ชีวิตใหม่ในวันต่อๆ ไป
อนึ่ง หากยังรู้สึกผิดอยู่บ่อยๆ ก็ควรแก้ไขด้วยการทำบุญอุทิศส่วนกุศล
และให้ชีวิตเป็นทางแก่สรรพสัตว์ ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้พอสมควร ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=34545