ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระอรหันต์ ที่ปรากฏประวัติ ว่าสำเร็จ เมตตาเจโตวิมุตติ มีกี่รูป คะ  (อ่าน 7000 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทราบมาว่า เมตตาเจโตวิมุตติ เป็นกรรมฐานที่สุดยอดอย่างยิ่ง
อยากเรียนถามผู้รู้ ทุกท่านว่า

พระอรหันต์ ที่ปรากฏประวัติ ว่าสำเร็จ เมตตาเจโตวิมุตติ มีกี่รูป คะ

  ขอบคุณมากคะ

  :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

ปวารณาสูตรที่ ๗

     [๗๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของนางวิสาขาผู้เป็นมารดามิคารเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นอรหันต์ทั้งหมด ฯ
     ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเป็นผู้อันภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในที่แจ้ง เพื่อทรงปวารณาในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ฯ


     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูเห็นภิกษุสงฆ์เป็นผู้นิ่งอยู่แล้ว จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอปวารณาเธอทั้งหลายเธอทั้งหลายจะไม่ติเตียนกรรมไรๆ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเราบ้างหรือ ฯ



      [๗๔๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางพระกายหรือทางพระวาจาของพระผู้มีพระภาคไม่ได้เลยข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่า พระผู้มีพระภาคทรงยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นทรงยังทางที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดมี ทรงบอกทางที่ยังไม่มีผู้บอก เป็นผู้ทรงรู้ทางทรงรู้แจ้งทาง ทรงฉลาดในทาง

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาวกทั้งหลายในบัดนี้เป็นผู้เดินตามทาง บัดนี้แลขอปวารณาพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของข้าพระองค์บ้างหรือ ฯ

     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     สารีบุตร เราติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเธอไม่ได้เลย
     สารีบุตร เธอเป็นบัณฑิต สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา
     สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริงเป็นผู้มีปัญญาว่องไว เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มีปัญญาสยายกิเลสได้
     สารีบุตร โอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมยังจักรอันพระราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด
     สารีบุตร เธอก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง ฯ



     ท่านพระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกว่า
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากว่าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกาย หรือทางวาจาของข้าพระองค์ไซร้
     ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้บ้างหรือ ฯ


     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
     สารีบุตร เราไม่ติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุ ๕๐๐ รูปแม้เหล่านี้
     สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้
     ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
     ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ "ปัญญาวิมุติ" ฯ



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๖๑๗๐ - ๖๒๒๓.  หน้าที่  ๒๖๕ - ๒๖๗.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=6170&Z=6223&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=744
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ
       เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)


ปัญญาวิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยปัญญา,
       ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล
       และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไป;
       เทียบ เจโตวิมุตติ


อุภโตภาควิมุต “ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน”
       คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถะมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตตผล;
       หลุดพ้นทั้งสองส่วน (และสองวาระ) คือหลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมาบัติ (เป็นวิกขัมภนะ) หนหนึ่งแล้ว จึงหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริยมรรค (เป็นสมุจเฉท) อีกหนหนึ่ง;
       เทียบ ปัญญาวิมุต


อรหันต์ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล,
       พระอรหันต์ ๒ ประเภท คือ พระสุกขวิปัสสก กับพระสมถยานิก;
       พระอรหันต์ ๔ คือ
           ๑. พระสุกขวิปัสสก
           ๒. พระเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓)
           ๓. พระฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖)
           ๔. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔);

      พระอรหันต์ ๕ คือ
           ๑. พระปัญญาวิมุต
           ๒. พระอุภโตภาควิมุต
           ๓. พระเตวิชชะ
           ๔. พระฉฬภิญญะ
           ๕. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ;


ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://www.dmc.tv/



   คำถามของคุณสุนีย์ที่ว่า "พระอรหันต์ ที่ปรากฏประวัติ ว่าสำเร็จ เมตตาเจโตวิมุตติ มีกี่รูป คะ"
   ผมขอตอบว่า "ไม่ทราบค่ะ"

   อย่างไรก็ตาม ผมจะขอตอบแบบกว้างๆ พอเป็นตัวอย่าง จึงยกเอาพระสูตรมาคุยกัน

 
  "สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้
     ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
     ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ"


   จากข้อความตามพระสูตรข้างต้น แบ่งเป็นอรหันต์ได้ ๔ ประเภท
      ๑. พระเตวิชชะ        คือ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
      ๒. พระฉฬภิญญะ     คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
      ๓. พระอุภโตภาควิมุต คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
      ๔. พระปัญญาวิมุต    คือ ๕๐๐ - (๖๐+๖๐+๖๐) เท่ากับ ๓๒๐ รูป


   ถ้าจะเอาเจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ มาเป็นเกณฑ์ จะแบ่งได้ดังนี้
      ๑. เจโตวิมุตติ คือ วิชชาสาม และ อภิญญาหก รวม ๑๒๐ รูป
      ๒. ปัญญาวิุมุตติ คือ ๓๒๐ รูป
      ๓. อุภโตภาควิมุต คือ ๖๐ รูป


  ถ้าหากเราเอาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นกลุ่มตัวอย่าง ก็พอที่จะประเมินได้ว่า
   ในสมัยพุทธกาล จำนวนอรหันต์ที่เป็นปัญญาวิมุตติ มีมากกว่าอรหันต์ประเภทอื่นๆ

    :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2012, 02:38:05 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต


    [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชาธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ
             สมถะ ๑
             วิปัสสนา ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต
    จิตที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้
    วิปัสสนาที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา
    ปัญญาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไ รย่อมละอวิชชาได้ ฯ


    [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
    หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่า เจโตวิมุติ
    เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุติ


อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๕๖๔ - ๑๖๑๖. หน้าที่ ๖๘ - ๗๐.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1564&Z=1616&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=267
ขอบคุณภาพจาก http://www.phuttha.com/



วิมุตติ ความหลุดพ้น, ความพ้นจากกิเลส มี ๕ อย่าง คือ
       ๑. ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือพ้นชั่วคราว
       ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดได้
       ๓. สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด
       ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ พ้นด้วยสงบ
       ๕. นิสฺสรณวิมุตติ พ้นด้วยออกไป;

           ๒ อย่างแรก เป็น โลกิยวิมุตติ
           ๓ อย่างหลังเป็น โลกุตตรวิมุตติ


เจโตวิมุตติ - ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ  (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิดปัญญาวิมุตติ จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)

ปัญญาวิมุต “ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา” หมายถึง พระอรหันต์ผู้สำเร็จด้วยบำเพ็ญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน

ปัญญาวิมุตติ - ความหลุดพ้นด้วยปัญญา,
       ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล
       และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไป


อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และฉบับประมวลธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) และจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน


อรหันต์ ๒ (ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, ท่านผู้สมควรรับทักษิณาและการเคารพบูชาอย่างแท้จริง)
    ๑. สุกขวิปัสสก (ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ว คือ ท่านผู้มิได้ฌาน สำเร็จอรหัตด้วยเจริญแต่วิปัสสนาล้วน ๆ)
    ๒. สมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหัต)


อรหันต์ ๔, ๕, ๖๐
    ๑. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน)
    ๒. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓)
    ๓. ฉฬภิญฺโญ (ผู้ได้อภิญญา ๖)
    ๔. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา)


    พระอรหันต์ทั้ง ๔ ในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประมวลแสดงไว้ในหนังสือธรรมวิภาคปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๔๑ พึงทราบคำอธิบายตามที่มาเฉพาะของคำนั้นๆ

    แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง  ที่เป็น ๕ คือ
    ๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา)
    ๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ)
    ๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓)
    ๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖)
    ๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔)


   ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น 
    พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท) 
    พระเตวิชชะ กับ พระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญาก็มี 
    ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้นประกอบความเพียรไว้เก่า และการบรรลุอรหัต


    พระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น แต่ละประเภท จำแนกโดยวิโมกข์ ๓ รวมเป็น ๑๕ 
    จำแนกออกไปอีกโดยปฏิปทา ๔  จึงรวมเป็น ๖๐ 
    ความละเอียดในข้อนี้จะไม่แสดงไว้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ ผู้ต้องการทราบยิ่งขึ้นไป พึงดูในหนังสือนี้ฉบับใหญ่


อ้างอิง วิสุทธิ.๓/๓๗๓; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๖๕๗.
ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก http://www.palungdham.com/


ภาพจากเว็บ http://www.mahamodo.com/

   
    ขอทำความเข้าใจเรื่อง เจโตวิมุต กับ ปัญญาวิมุต ให้กระจ่างยิ่งขึ้น
    เจโตวิมุต เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว ด้วยการสะกดเอาไว้ ด้วยกำลังของสมาธิ เรียกว่า "โลกิยวิมุตติ" ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่ใช่อรหันต์
    ปัญญาวิมุต เป็นการหลุดพ้นอย่างถาวร ตัดขาดโดยสิ้นเชิง เรียกว่า "โลกุตตรวิมุตติ" เป็นการบรรลุอรหันต์


    คราวนี้มาทำความเข้าใจพระสูตรอีกครั้ง
    "สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้
     ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
     ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ"


   จากข้อความตามพระสูตรข้างต้น แบ่งเป็นอรหันต์ได้ ๔ ประเภท
      ๑. พระเตวิชชะ        คือ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
      ๒. พระฉฬภิญญะ     คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
      ๓. พระอุภโตภาควิมุต คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
      ๔. พระปัญญาวิมุต    คือ ๕๐๐ - (๖๐+๖๐+๖๐) เท่ากับ ๓๒๐ รูป


    หากวินิจฉัยตามคัมภีรวิสุทธิมรรค โดยแบ่งอรหันต์ ๒ ประเภทหลัก จะเป็นดังนี้
      ๑. พระปัญญาวิมุต   มีจำนวน ๓๒๐ รูป (เจริญปัญญาอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนบรรลุอรหันต์)
      ๒. พระอุภโตภาควิมุต ประกอบด้วย วิชชาสาม อภิญญาหก และอุภโตภาควิมุต(๖๐+๖๐+๖๐)
          มีจำนวน ๑๘๐ รูป(เริ่มด้วยเจโตวิมุต และสำเร็จอรหันต์ด้วยปัญญาวิมุต)

       :49:

   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 09, 2012, 10:36:12 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ขอบคุณมากคะ มีข้อมูลให้ทราบตามที่คิดเลยคะ

  :c017: :25: :s_good:
บันทึกการเข้า