การเผชิญมารของพระพุทธเจ้า
พญามารขวางไม่ให้ออกบรรพชา
เมื่อเสด็จข้ามพระนครไปแล้ว ขณะนั้นพญามารวัสวดี ผู้มีจิตบาป เห็นพระสิทธัตถะสละราชสมบัติ เสด็จออกจากพระนคร เพื่อบรรพชา จะล่วงพ้นบ่วงของอาตมาซึ่งดักไว้ จึงรีบเหาะมาประดิษฐานลอยอยู่ในอากาศ ยกพระหัตถ์ขึ้นร้องห้ามว่า
ดูกร พระสิทธัตถะ ท่านอย่ารีบร้อนออกบรรพชาเสียก่อนเลย ยังอีก ๗ วันเท่านั้น ทิพยรัตนจักรก็จะปรากฏแก่ท่าน แล้วท่านก็จะได้เป็นองค์บรมจักรพรรดิ์ เสวยสมบัติเป็นอิสราธิบดี มีทวีใหญ่ทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ขอท่านจงนิวัตนาการกลับคืนเข้าพระนครเถิด
พระสิทธัตถะจึงตรัสว่า ดูกรพญามาร แม้เราก็ทราบแล้วว่า ทิพยรัตนจักรจะเกิดขึ้นแก่เรา แต่เราก็มิได้มีความต้องการด้วยสมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น เพราะแม้สมบัติบรมจักรพรรดิ์นั้น ก็ตกอยู่ในอำนาจไตรลักษณ์ ไม่อาจนำผู้เสวยให้พ้นทุกข์ได้ ท่านจงหลีกไปเถิด
เมื่อทรงขับพญามารให้ถอยไปแล้ว ก็ทรงขับม้ากัณฐกะราช ชาติมโนมัยไปจากที่นั้น บ่ายหน้าสู่มรรคา เพื่อข้ามให้พ้นเขตราชเสมาแห่งกบิลพัสดุ์บุรี เหล่าเทพยดาก็ปลาบปลื้มยินดี บูชาด้วยบุบผามาลัยมากกว่ามาก บ้างก็ติดตามห้อมล้อมถวายการรักษาพระมหาบุรุษเจ้าตลอดไป พญามารกรีธาทัพ
พญาวสวัตดีมารแสวงหาโอกาส เพื่อจะทำลายหนทางบรรลุพระโพธิญาณของพระองค์ เมื่อได้ทราบว่า ทรงอธิษฐานจิตตั้งมั่นจะไม่ลุกจากรัตนบัลลังก์ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ จึงได้เรียกไพร่พล พร้อมศาสตราวุธนานาชนิด และเนรมิตกายเป็นรูปต่างๆ บางพวกก็เนรมิตกายเป็นยักษ์มีรูปร่างน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัว แสดงอาการประหนึ่งจะเข้ามาประหัตประหารให้ถึงสิ้นพระชนม์ให้จงได้ พญามารจึงไส พญาช้างคีรีเมขล์ เข้าไปกวัดแกว่งสรรพอาวุธพร้อมตะโกนประกาศก้องว่า
“รัตนบัลลังก์นี้เป็นของเรา เกิดขึ้นด้วยบุญเรา ไพร่พลเสนานี้เป็นพยานท่านจงเร่งลุกออกไป”
พระบรมโพธิสัตว์จึงเปล่งสีหนาทตอบว่า
“ดูก่อนพญามาร รัตนบัลลังก์นี้เป็นของเรา เกิดขึ้นด้วยบุญ อันเราสั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน พระธรณีเป็นพยานแห่งเรา” ทันใดนั้น พระแม่ธรณีวสุนธรา ก็ปรากฏกายขึ้นกระทำอัญชลีกราบอภิวาทต่อพระบรมโพธิสัตว์ เปล่งวาจาประกาศเป็นพยานในการบำเพ็ญมหากุศลของพระองค์แล้วบิดเกศาของตนทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยว หลั่งไหลท่วมนองในสถานที่นั้น ยกเว้นเขตรัตนบัลลังก์ กระแสน้ำไหลปานประดุจมหาสมุทรท่วมท้น จนหมู่มาร ไม่สามารถจะดำรงกายอยู่ได้ ถูกน้ำพัดพาลอยไปตามกระแสคลื่นจนหมดสิ้น ขับธิดามาร
สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จไปทางทิศบูรพาของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่งสมาธิ ณ ใต้ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) เป็นเวลาอีก ๗ วัน
ในลำดับนั้นธิดาของพญาวสวัตดีมารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี อาสาที่จะทำให้พระพุทธองค์ตกอยู่ในอำนาจให้จงได้ จึงได้ทำการประเล้าประโลมด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่สามารถจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์หวั่นไหวสั่นคลอนได้ ธิดาพญามารทั้ง ๓ จึงปรารภว่า
“พญามารผู้เป็นบิดา กล่าวเตือนไว้ถูกต้องแล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีบุคคลผู้ใดในโลกจะชักนำไปสู่อำนาจแห่งตนได้โดยแท้ เพราะเป็นผู้ปราศจากกิเลสตัณหาโดยสิ้นแล้ว” แล้วพากันกลับไปสำนักแห่งพญามารแสดงโอฬาริกนิมิต
ในเวลาเช้า ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชา พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ เมืองไพศาลี ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ได้แสดง โอฬาริกนิมิต คือ ตรัสให้พระอานนท์ทราบว่า “ผู้ใดเจริญ อิทธิบาทภาวนา หรืออิทธิบาท ๔ สมบูรณ์ดีแล้ว ผู้นั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง หรือเกินกว่าได้ตามประสงค์”
แม้พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงนิมิตถึง ๓ ครั้ง
แต่พระอานนท์ ก็มิได้ทูลอาราธนาให้ดำรง พระชนมชีพอยู่ตลอดกัปหนึ่ง
เพราะเหตุที่พญามารได้เข้าดลใจห้ามมาร
เมื่อพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก มิได้ทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าดำรง พระชนม์อยู่ตลอดกัปหนึ่ง พระพุทธองค์จึงทรงมีรับสั่งให้ลุกออกไปเสียจากที่นั้น พระอานนท์ถวายอภิวาทแล้วออกไปนั่งไม่ไกลจากที่ประทับนัก ฝ่ายพญามารวสวัตดี เห็นสบโอกาสรีบเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลว่า
“ครั้งแรกเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จประทับใต้ต้นไทร ได้ตรัสว่า ตราบใดที่พุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังมิได้ตั้งมั่นในธรรม และพรหมจรรย์ยังไม่ได้ประกาศแพร่หลายบริบูรณ์ด้วยดี สำเร็จประโยชน์แก่ประชุมชนเป็นอันมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์เพียงใดแล้วพระองค์จะยังไม่ปรินิพพานก่อนเพียงนั้น แต่บัดนี้ พุทธบริษัท ๔ และพรหมจรรย์ก็สมบูรณ์ดังพุทธประสงค์ทุกประการแล้วขอจงปรินิพพานเถิด” เมื่อพญามารกราบทูลอาราธนาดังนี้ พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามมารว่า
“มารผู้มีใจบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยอยู่เถิด ความปรินิพพาน ของตถาคตจะมีในไม่ช้านี้ นับแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน ตถาคตจะปรินิพพาน” ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.buddha-thushaveiheard.com/