ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แนะคนไทย "ใช้เวลากับเทคโนโลยีให้น้อยลง" เหตุทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอ่อนแอ  (อ่าน 2420 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


แนะคนไทย "ใช้เวลากับเทคโนโลยีให้น้อยลง"

กรมสุขภาพจิตแนะคนไทยใช้เวลากับเทคโนโลยีให้น้อยลง เหตุทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอ่อนแอ

นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่องค์การสหประชาติ (ยูเอ็น) ประกาศให้วันที่20 มี.ค.ของทุกปีเป็นวันความสุขสากล เพื่อให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกให้ความสนใจเรื่องความสุข และพัฒนาประเทศให้มีความสมดุลไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

สำหรับประเทศไทยได้ให้ความสำคัญมานาน จากผลการจัดอันดับความสุขของ 156 ประเทศทั่วโลกพบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 52 เนื่องในวันความสุขสากล ขอเชิญชวนคนไทยจัดเวลาค้นหาความสุขสำหรับตัวเองและครอบครัว เลือกทำกิจกรรมความสุขด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น ออกกำลังกาย ฝึกการหายใจ ทำกิจกรรมจิตอาสา ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในครอบครัว โดยไม่ต้องก้มหน้ามองแต่โทรศัพท์มือถือ หรือมองหน้าจอทีวี ไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีมาทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอ่อนแอลง

น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ รอง ผอ.สำนักงานสถิติแห่งชาติ  กล่าวว่า  จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2555 ในคนไทยอายุ 15ปีขึ้นไป กว่า 8 หมื่นคน พบว่า คะแนนเฉลี่ยและอันดับสุขภาพจิตจำแนกเป็นรายจังหวัด  พบว่า จังหวัดที่มีสุขภาพจิตดีที่สุด 5 อันดับแรก คือ นครพนม พิจิตร ตรัง ชัยภูมิ กระบี่ ส่วนจังหวัดที่มีสุขภาพจิตต่ำสุด 5 อันดับ  คือ สมุทรสงคราม  สมุทรปราการ สระแก้ว ภูเก็ต และหนองคาย ส่วนกรุงเทพฯคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ลำดับที่ 65

ทั้งนี้จากการสำรวจเมื่อปี 2552 กรุงเทพฯอยู่ในลำดับที่ 59 สาเหตุที่คะแนนลดลงไม่ได้หมายความว่าคนกรุงเทพฯมีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น เพียงแต่จังหวัดอื่นมีความสุขมากขึ้นในระดับที่สูงกว่า ในขณะที่กรุงเทพฯเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ อาจมีสาเหตุ การย้ายถิ่นฐาน  ปัญหาการเมืองที่รุนแรง การประท้วงที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ



น.ส.รัจนา กล่าวต่อว่า ในปี 2553 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 13% ถือว่าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว คาดการณ์ว่า ในปี 2583 ผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 83% อย่างไรก็ตามแม้ผู้สูงอายุจะมีสุขภาพจิตต่ำสุดแต่ยังอยู่ในระดับมาตรฐาน ผู้สูงอายุที่อ่านหนังสือมากจะมีสุขภาพจิตดีกว่าไม่อ่านหนังสือ ผู้สูงอายุที่มีเงินออมจะมีสุขภาพจิตดีกว่าไม่มีเงินออม และคนที่อยู่ตามลำพังคนเดียวสุขภาพจิตต่ำ

ด้าน ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากการสำรวจความพึงพอใจในการใช้ชีวิตของคนไทยโดยแบ่งเป็นกลุ่มพบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับดี คือ 7.5 จากคะแนนเต็ม 10 แต่เมื่อแยกเป็นกลุ่มประชาชนพบว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำ การศึกษาต่ำ ทำให้ความพึงพอใจในชีวิตต่ำลง ดังนั้นควรส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ทุกเพศทุก ทุกวัย รวมไปถึงการให้ความสำคัญเรื่องการจัดสรรเวลา โดยเฉพาะกรุงเทพฯ แม้เศรษฐกิจจะดี แต่คนกรุงเทพฯมีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลา

นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผู้สูงอายุจะมีความสุขถ้าไม่ป่วย มีเงินออม มีความสัมพันธ์ที่ดีภายในบ้านและชุมชน ได้ทำประโยชน์เป็นผู้ให้และเข้าวัดเข้าวา ปฏิบัติธรรม ดังนั้นบุตรหลานอาจมีส่วนช่วยสนับสนุนในเรื่องที่กล่าวมา รวมทั้งอาจส่งเงินให้พ่อแม่ตามอัตภาพก็มีส่วนช่วยได้

ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/สังคม/สาธารณสุข/210973/แนะคนไทยใช้เวลากับเทคโนโลยีให้น้อยลง
http://2.bp.blogspot.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ