พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ขณสูตร
    [๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว 
    ในผัสสายตนิกนรกนั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ 
    จะฟังเสียงอะไรๆ ด้วยหู...
    จะดมกลิ่นอะไรๆ ด้วยจมูก... 
    จะลิ้มรสอะไรๆ ด้วยลิ้น... 
    จะถูกต้องโผฏฐัพพะอะไรๆ ด้วยกาย... 
    จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ 
    ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา
    ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าใคร่ 
    ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าพอใจ
    [๒๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ ชั้น เราได้เห็นแล้ว 
    ในผัสสายตนิกสวรรค์นั้น บุคคลจะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ 
    ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา 
    ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าใคร่ 
    ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ 
    จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ 
    ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา 
    ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ 
    ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดีแล้ว 
    ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ฯ
    จบสูตรที่ ๒_____________________________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=18&A=3253&Z=3276          อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สฬายตนสังยุตต์ เทวทหวรรคที่ ๔
๒. ขณสูตร
    อรรถกถาขณสูตรที่ ๒               
    ในขณสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
    บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรกชื่อว่า ผัสสายตนะ ๖ ไม่มี. 
    นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกา แต่ละชื่อไม่มี. 
    จริงอยู่ บัญญัติว่า ผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง.
    แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอา อเวจีมหานรก.
    แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์) นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะ บุรีดาวดึงส์ เท่านั้น. 
    แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่งอายตนะหก แม้แต่ละอย่างในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่.
    ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฉผัสสายตนิกานี้ไว้ทำไม.
    ตอบว่า ใครๆ ไม่อาจจะอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในนรกได้ เพราะได้รับแต่ทุกข์โดยส่วนเดียว    
    และไม่อาจอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในเทวโลกได้ 
    เพราะเกิดความประมาทด้วยสามารถความยินดีในการเล่นโดยส่วนเดียว 
    เพราะได้รับความสุขโดยส่วนเดียว.
    ส่วนมนุษยโลกมีความสุขและความทุกข์ระคนกัน ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น ย่อมมีทั้งอบายและสวรรค์ปรากฏ. นี้ชื่อว่าเป็นกรรมภูมิของมรรคพรหมจรรย์.
    กรรมภูมินั้น พวกท่านได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์ซึ่งเป็นของมนุษย์ที่พวกเธอได้กันแล้ว จัดเป็นลาภของพวกท่าน และภาวะเป็นมนุษย์ที่พวกเธอได้แล้วนี้ ก็เป็นขณะเป็นสมัยของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่พวกเธอได้.
               
    สมจริงดังคำที่พระโปราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า.
    การเจริญมรรคในที่นี้ นี้ก็เป็นกรรมภูมิ ธรรมเป็นที่ตั้ง แห่งความสังเวชเป็นอันมาก ในที่นี้ก็เป็นฐานะอยู่ ท่านเกิดความสังเวชแล้ว ก็จงประกอบความเพียรโดย แยบคายในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลดสังเวชเถิด.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํเวคา แปลว่า ความสังเวช.
            จบอรรถกถาขณสูตรที่ ๒               __________________________________________________
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=18&i=214ขอบคุณภาพจาก 
http://ahph9thi.gotoknow.org/