อ่านเถอะ เกี่ยวกับเรื่องน้ำ

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอก
ท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ
เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยัง
เข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้น
เป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก
เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย
ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่
แต่ในกองถ่าย จะหาห้องน้ำสะอาดๆ ยาก
เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำ
จะได้ไม่ต้องปัสสาวะ
พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอกครับ
มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะ
ภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน
ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อย
อยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี
พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่า
ไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย
โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ
90 กว่าเปอร์เซนต์
กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2
ลิตรเศษ แล้วเรารับน้ำเข้า
ไปเพียงพอหรือไม่
ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือด
เราจะข้นหนืด
ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆของร่างกาย
หัวใจเองนั่นแหละ
จะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อม
หรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยง
สมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง
จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม
เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ
2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี.ซี. เลือดก็ข้นหนืด
เต็มไปด้วยไขมันสังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสี
ขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน
รอให้เส้นเลือดอุดตันได้
เลย
เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน
มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำ
ใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส
แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือนตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมา
ทำให้น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส
แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอน
ก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้
ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุด
ตันเส้นเลือดเราอีก
เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง
ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และ
ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีก
เลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลอง
พิจารณาดูครับว่า
เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้นจะให้เกิดปัญหาตามมาอีก
มากมายเพียงใด
ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน
ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนักปริมาณพอสมควรกับอาหารที่
เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด
ที่เหลือหายไปไหนหมดมันเข้าไป
บำรุงร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่
การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ
แล้วแต่อารมณ์นั้นไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูก
แล้วรอบเดือนจะช้าเร็วไม่ควรเกิน 7 วัน ถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง
ยกเว้นแต่ตั้งครรภ์
สำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด
ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมี
ไข่ตกและไม่ได้รับการผสมพันธุ์
เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อ
ช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ
ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก
มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้
ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน
เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์
หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมา
เป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง
สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น
ดังนั้นถ้าเรามี อาการดังที่กล่าวมา ก็ขอให้
เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว
มันเป็นสัญญาณเตือนภัยที่เราไม่ควรมอง
ข้าม หรือกินแต่ยา
ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออกเพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา
หรือบำบัดโรค
ต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ
เหมือนรุกใต้ดินโดยที่เราไม่รู้
สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว...
ที่มา : คอลัมน์แพทย์แผนไทย - นิตยสารตั้งตัว ฉบับเดือน เมษายน