ขันติธรรม : เชิดชูศาสนาตน ไม่ทำร้ายศาสนาอื่น
ขันติธรรม.1 ไม่เฉพาะแต่อิสรภาพทางความคิดเท่านั้น ที่ทำให้เกิดความพิศวงแก่นักศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาทั้งหลาย แม้ความมีใจกว้างที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ก็ทำให้เกิดความพิศวง
สมัยหนึ่ง ณ เมืองนาลันทา คฤหบดีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและมั่งคั่งท่านหนึ่งนามว่าอุบาลี เป็นสาวกฝ่ายคฤหัสถ์ที่รู้จักกันดีของนิครนถนาฏบุตร(ไชนะมหาวีระ) ถูกพระมหาวีระส่งไปพบกับพระพุทธเจ้าอย่างมีแผน และให้เอาชนะ(ปราบ)พระพุทธเจ้าด้วยการโต้เถียงในบางประเด็นในทฤษฏีเรื่องกรรม เพราะเหตุว่าทัศนะของพระพุทธเจ้าในเรื่องกรรมนั้นแตกต่างไปจากทัศนะของมหาวีระ ตรงกันข้ามจากความคาดหมายของเขาทีเดียว
ในตอนจบการอภิปรายกันอุบาลีเกิดความเชื่อมั่นว่าทัศนะของพระพุทธเจ้านั้นถูกต้องทัศนะของอาจารย์ของตนนั้นผิดพลาด ดังนั้นอุบาลีจึงได้ทูลขอร้องพระพุทธองค์รับตนเป็นอุบาสกผู้หนึ่งในอุบาสกทั้งหลายแต่พระพุทธเจ้าได้ทรงขอให้อุบาลีนั้นพิจารณาเรื่องนั้นใหม่และไม่ให้ใจเร็วด่วนได้เพราะว่า
"การพิจารณาโดยรอบคอบเป็นการดีสำหรับคนผู้มีชื่อเสียงเช่นท่าน"
เมื่ออุบาลีได้แสดงความปรารถนาของตนอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงขอร้องให้อุบาลีนั้นเคารพอุปถัมภ์อาจารย์ทางศาสนาเก่าของตนต่อไปอย่างที่ตนเคยทำมาแล้ว

ขอย้ำอีกทีครับ
"เมื่ออุบาลีได้แสดงความปรารถนาของตนอีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงขอร้องให้อุบาลีนั้นเคารพอุปถัมภ์อาจารย์ทางศาสนาเก่าของตนต่อไปอย่างที่ตนเคยทำมาแล้ว"
แม้ต่างศาสนากัน พระพุทธเจ้ายังทรงใจกว้างถึงขนาดนี้ เราในฐานะพุทธศาสนิกชนด้วยกัน จะอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งท่านใดไม่ได้เชียวหรือ แม้จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะทัศนคติบางอย่างในคำสอนที่แตกต่างกัน แต่ในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกันเราควรจะหาทางออกโดยสันติวิธีและมีเมตตาจิตต่อกัน
ขันติธรรม 2 ปรองดองสู่สันติ วัฒนธรรมและอารยธรรมของพุทธศาสนาที่รักษากันไว้อย่างดีที่สุด ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียพระนามว่า อโศก ผู้นับถือพุทธศาสนาทรงปฏิบัติตามหลักผ่อนสั้นผ่อนยาวและความเข้าใจกัน อันเป็นตัวอย่างอันประเสริฐ ได้ทรงยกย่องและอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นๆทั้งปวงในจักรวรรดิอันไพศาลของพระองค์ในประกาศพระราชโองการฉบับหนึ่งของพระองค์ ซึ่งได้แกะสลักไว้บนแผ่นศิลาและยังมีต้นฉบับที่บุคคลจะอ่านได้แม้จนกระทั่งทุกวันนี้ พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์นั้นได้ทรงประกาศไว้ดังนี้
"บุคคลไม่ควรจะยกย่องเฉพาะแต่ศาสนาของตนเองฝ่ายเดียว และประฌานศาสนาของชนเหล่าอื่น แต่บุคคลควรยกย่องศาสนาของชนเหล่าอื่น ด้วยโดยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อทำอย่างนี้บุคคลย่อมชื่อว่าช่วยศาสนาของตนเองให้เจริญงอกงามด้วย และว่าให้ความเอื้อเฟื้อต่อศาสนาของชนเหล่าอื่นด้วย เมื่อทำโดยประการอื่นก็ชื่อว่าขุดหลุมศพให้แก่ศาสนาของตนเอง และชื่อว่าทำอันตรายแก่ศาสนาอื่นด้วย
บุคคลใดก็ตามที่ยกย่องศาสนาของตนเองและประณามศาสนาอื่นๆ เขาย่อมทำอย่างนั้นเพราะมีความจงรักภักดีต่อศาสนาของตนเองโดยแท้ ด้วยคิดว่า "ข้าพเจ้าจะเชิดชูศาสนาของข้าพเจ้า" แต่ตรงกันข้าม ด้วยการทำอย่างนั้นเขาชื่อว่าทำร้ายศาสนาของตนเองมากขึ้น
ดังนั้น ความปรองดองกันนั่นแหละเป็นการดี ขอให้ทุกคนจงรับฟัง และจงเป็นผู้ที่เต็มใจจะฟังธรรมะที่คนอื่นเขานับถือด้วย"

เราควรจะกล่าวเพิ่มเติมไว้ในที่นี้ด้วยว่า น้ำใจแห่งความเข้าใจกันซึ่งเกิดจากความเห็นอกเห็นใจกันนี้ ควรจะได้นำมาใช้ในทุกวันนี้ ไม่เฉพาะแต่หลักธรรมในทางศาสนาเท่านั้น แต่ควรใช้ในกรณีอื่นๆด้วยเช่นกัน
น้ำใจแห่งขันติธรรมและความเข้าใจนี้ เป็นข้อหนึ่งในอุดมคติที่ได้รักษาไว้อย่างดีที่สุด ในวัฒนธรรมและอารยธรรมของพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มแรก
นั่นแหละคือ เหตุผลที่ว่า ทำไมจึงไม่มีตัวอย่างสักเรื่องเดียวในการกดขี่ข่มเหง หรือการหลั่งเลือดสักหยดเดียวในการกลับใจประชาชนให้หันมานับถือพุทธศาสนา หรือในการเผยแพร่พุทธศาสนาในประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้ง 2500 ปี พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปอย่างสันติทั่วทั้งผืนแผ่นดินใหญ่ในทวีปเอเชีย โดยมีศาสนิกชนในปัจจุบันนี้เกินกว่า 500 ล้านคน
....การใช้วิธีรุนแรง(หิงสธรรม) ในรูปแบบใดๆภายใต้ข้ออ้างใดๆก็ตาม ย่อมเป็นการขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง.....

ข้อย้ำ 2 ประเด็น
1. น้ำใจแห่งขันติธรรมและความเข้าใจนี้ เป็นข้อหนึ่งในอุดมคติที่ได้รักษาไว้อย่างดีที่สุด ในวัฒนธรรมและอารยธรรมของพุทธศาสนาตั้งแต่เริ่มแรก
2. การใช้วิธีรุนแรง(หิงสธรรม) ในรูปแบบใดๆภายใต้ข้ออ้างใดๆก็ตามย่อมเป็นการขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง.....
ย้อนกลับมาดูสถานการณ์ปัจจุบันในวงการพระพุทธศาสนาบ้านเราเอง....เราให้ความเคารพครูบาอาจารย์ของตนกับครูบาอาจารย์ของผู้อื่นอย่างไร.... _____________________________________
ข้อมูลจากหนังสือพระพุทธเจ้าสอนอะไร หน้า 19
แปลจากหนังสือภาษาอังกฤษ What the buddha taught โดย Walpola Sri Rahula
แปลเป็นภาษาไทยโดย รศ ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ
ที่มา
www.mattaiya.org/ขันติธรรม.html www.mattaiya.org/ขันติธรรม-2.html ขอบคุณภาพจาก
http://ecards.dmc.tv/