ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'วาดาเลอร์' อินเดียใต้ถิ่นนักบวชฮินดู..บูชาไฟ  (อ่าน 1454 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

'วาดาเลอร์' อินเดียใต้ถิ่นนักบวชฮินดู..บูชาไฟ
วาดาเลอร์ (Vadalur): ดินแดนลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชฮินดูผู้เดินทางสายสุดโต่งเพื่อเป้าหมายอันสูงสุด : พระมหาสมพงษ์ คุณากโร เมืองเจนไน ประเทศอินเดียรายงาน

       ห่างไกลออกไปจากตัวเมืองเจนไน (เมืองหลวงแห่งรัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดีย) ประมาณ 171 กิโลเมตร มีดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าพิศวงน่าค้นหาและน่าศรัทธาจากนักบวชชาวฮินดูท่านหนึ่งผู้มีนามว่า รามลิงค สวามิกาล (Ramalinga Swamigal) ท่านผู้นี้มีแนวความคิดเรื่องตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพในร่างเดิม เป็นผู้นิยมบูชาไฟและมีเป้าหมายอันสูงสุดคือการได้รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้าทำให้นักบวชชาวฮินดูท่านนี้เลือกเดินทางสายสุดโต่งโดยสละชีวิตของตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายอันสูงสุด

       เรื่องราวและแนวทางปฏิบัติของนักบวชฮินดูท่านนี้ได้กระฉ่อนไปทั่วจนกุมศรัทธาผู้คนในถิ่นนั้นและบริเวณใกล้เคียงอย่างไม่เสื่่อมคลายเห็นได้จากการที่ผู้คนเหล่านั้นต่างยึดมั่นในหลักคำสอนและเดินตามหลักปฏิบัติของนักบวชฮินดูท่านนี้อย่างเคร่งครัดสืบทอดกันมาเป็นเวลานานร่วมร้อยกว่าปีจวบจนปัจจุบัน ดินแดนที่นักบวชฮินดูท่านนี้อาศัยอยู่พร้อมกับศิษยานุศิษย์เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "วาดาเลอร์ (Vadalur)”


        :welcome: :welcome: :welcome:

       วาดาเลอร์ (Vadalur) เป็นดินแดนเต็มไปด้วยกลิ่มอายความเป็นชนบทเนื่องจากสถาพแวดล้อมแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนาและป่าไม้ บางแห่งจะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ กระจัดกระจายตามสองข้างทางขณะที่บางแห่งเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ อันบ่งบอกถึงอาชีพและวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้เป็นอย่างดี การเดินทางสู่ดินแดนนี้สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถไฟและรถยนต์โดยใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเจนไน (Chennai)ประมาณเกือบสามชั่วโมงก็จะเข้าเขตพื้นที่ วาดาเลอร์

       ทันทีที่ไปถึงจะเห็นภาพโพสเตอร์ของนักบวชท่านนี้กระจัดกระจายอยู่บริเวณถิ่นนี้ไม่เว้นแม้แต่ภายในสถานการศึกษา สิ่งนี้เองบ่งบอกถึงศรัทธาที่ชาววาดาเลอร์มีต่อท่านรามลิงคะสวามิกาลได้เป็นอย่างดีและเพราะความเคารพศรัทธาอย่างแรงกล้าของชาววาดาเลอร์ที่มีต่อท่านรามลิงคสวามิกาลนี่เอง ท่านจึงได้รับการขนานนามจากผู้คนที่นี่ว่า “นักบุญรามลิงค สวามิกาล (Saint Ramalinga Swamigal)”



       อาศรมที่นักบวชชาวฮินดูท่านนี้พำนักอยู่ตั้งอยู่ในพื้นที่อันกว้างขวางและห่างใกลผู้คน ภายในอาศรมนั้นเท่าที่สังเกตุเห็นจะแยกออกเป็นสามส่วนคือ ส่วนที่เป็นอาคารสถานที่บูชาเทพเจ้า อาคารสถานที่ปฏิบัติธรรม และอาคารสถานที่บูชาไฟ ทั้งสามอาคารสถานที่นี้ถึงแม้จะอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่ดูเหมือนจะสร้างแยกห่างจากกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเดินเข้าไปข้างในอาคารสถานที่สำหรับบูชาเทพเจ้าดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากวัดฮินดูที่มีอยู่กระจัดกระจายโดยทั่วไปเท่าไรนัก แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือภายในที่นี้ได้จารึกเรื่องราวของนักบวชฮินดูท่านนี้อย่างละเอียด

       นอกจากนี้ยังมีห้องที่เรียกกันว่าห้องศักดิ์สิทธิ์อันเป็นห้องสำหรับปฏิบัติธรรมของนักบวชฮินดูท่านนี้เช่นเดียวกัน เมื่อเดินออกจากอาคารนี้แล้วจะเป็นทางไปสู่อาคารอีกหลังหนึ่ง เป็นอาคารที่ปูลาดด้วยหินอ่อนและเปิดโล่งทั้งสี่ด้านสามารถเข้าออกได้อย่างสะดวก เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารจะสัมผัสได้ถึงความร่มเย็น ความเงียบสงบ ซึ่งเหมาะแก่การนั่งสมาธิเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่ชาวฮินดูจะพากันมาปฏิบัติธรรมภายในอาคารสถานที่นี้ไม่ขาดสาย

        พอเดินไปยังอีกอาคารสถานที่หนึ่งไม่ห่างใกลจากอาคารหลังนี้เท่าไรนักจะสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านจากข้างในออกสู่ข้างนอกเพราะเป็นอาคารสถานที่สำหรับบูชาไฟ เมื่อเข้าไปภายในตัวอาคารจะเห็นที่สำหรับจุดไฟเพื่อบูชาพร้อมกับเปลวไฟที่ยังคงลุกไหม้ นอกจากนี้ยังจะสังเกตุเห็นกองฟืนมากมายก่ายกองใกล้ ๆ บริเวณนั้น คนที่ดูแลสถานที่นี้เล่าให้ฟังว่า ฟืนเหล่านี้ถูกเก็บไว้เพื่อเติมเชื้อไฟเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ไฟดับและไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่นี้ลุกโชนมาร่วมร้อยกว่าปีไม่เคยดับ



       เมื่อย้อนกลับไปในอดีตในสมัยเป็นเด็ก นักบุญแห่งวาดาเลอร์ท่านนี้มีวิวัฒนาการทางด้านสติปัญหารุดหน้าเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันและต่อมาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกวีต่าง ๆ บทกวีที่นักบุญท่านนี้ประพันธ์ขึ้นมาจะเป็นการพรรณาเกี่ยวกับหลักศาสนา ซึ่งสร้างความนิยมชมชอบให้กับผู้คนในสมัยนั้นเป็นอันมากจนท่านได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณและเป็นครูผู้สอนอีกด้วย

       ท่านรามลิงคสวามิกาลเที่ยวไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆหลายแห่งจนกระทั่งมาปักหลักที่หมูบ้านกะรันคุลี (Karunguli) ใกล้ๆกับวาดาเลอร์ในเขตอำเภอชัดดาเลอร์ (Cuddalore) รัฐทมิฬนาดู (Tamilnadu) และย้ายเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านภารวตีปุรัม (Parvathipuram)ในเขตวาดาเลอร์

       เล่ากันว่าเพราะความมีชื่อเสียงโด่งดังด้านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและเป็นที่ศรัทธาของคนทั่วไปนี่เอง พอเมื่อท่านย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านภารวตีปุรัมที่ วาดาเลอร์ พวกศิษยานุศิษย์รวมทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองระดับสูงในขณะนั้นต่างย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอยู่บริเวณใกล้ๆกับหมู่บ้านภารวตีปุรัมเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆกับท่านรามลิงคสวามิกาลตลอดไป



       ในปี 1872 ท่านรามลิงคสามิกาลได้สร้างศาลาที่มีรูปทรงไม่เหมือนใครคือมีแปดเหลี่ยมโดยมียอดเป็นโดมสามารถมองเห็นได้จากที่ใกล เล่ากันว่าท่านได้แนวคิดในการสร้างศาลาที่มีลักษณะนี้จากอนุคัมภีร์และศาลาหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมและจารึกรายละเอียดต่าง ๆเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม

       กล่าวกันว่า ท่านรามลิงคสวามิกาลนั้นมีความเชื่อว่า เมื่อคนเราตายไปแล้วสักวันหนึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งไม่วันใดก็วันหนึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยหลายร้อยหลายพันปีก็ตาม ดังนั้นท่านจึงสั่งศิษยานุศิษย์ของท่านว่าถ้าใครตายไปแล้วให้เอาศพนั้นไปฝังไว้อย่าได้เผาเด็ดขาดไม่ว่าผู้ตายนั้นจะมาจากวรรณะพราหมณ์หรือวรรณะใหนก็ตาม นอกจากนี้ท่านรามลิงคสวามิกาลยังสั่งศิษยานุศิษย์อีกด้วยว่า ถ้าหากผู้คนจากถิ่นนี้ไปเสียชีวิตที่อื่นให้นำร่างกลับมาฝังไว้ที่เขตวาดาเลอร์เช่นเดียวกัน


        :49: :49: :49:

       ต่อมาในปี 1874 นักบุญแห่งวาดาเลอร์ (ท่านรามลิงคสวามิกาล) ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดและเลือกเดินทางสายสุดโต่งเพื่อจะได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้าอันเป็นเป้าหมายสุงสุดของนักบุญท่านนี้ ในทางสายสุดโต่งนี้ท่านยอมสละชีวิตคือ ท่านขังตัวเองไว้ในห้องเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดโดยสั่งเหล่าศิษยานุศิษย์ว่าห้ามเปิดห้องที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ภายในนี้โดยเด็ดขาดไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

      นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครได้เห็นนักบวชชาวฮินดูท่านนี้อีกเลย (ท่านรามลิงคสวามิกาล) ห้องที่ท่านขังตัวเองเพื่อปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดก็ยังคงล็อกอยู่อย่างนั้นมาร่วมร้อยกว่าปีจนกระทั่งปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามบรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านเชื่อกันว่า ณ เวลานี้นักบุญของพวกเขาได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดแล้วนั่นคือได้รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้าแล้วและเมื่อถึงเวลาอันควรนักบุญของพวกเขาจะปรากฏกายให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20130816/165922/วาดาเลอร์อินเดียใต้ถิ่นนักบวชฮินดูบูชาไฟ.html#.Ug2mcqxYxGp
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ