ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กรณีมิตซูโอะ คเวสโก "ปฏิบัติกับสตรีโดยขาดสติ" ลองมาอ่านพุทธพจน์  (อ่าน 1386 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29442
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


กรณีมิตซูโอะ คเวสโก โดย นวพร เรืองสกุล

พระภิกษุชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาบวชในสายหลวงปู่ชา และใช้ชีวิตในร่มเงาพระพุทธศาสนามายาวนาน เป็นอาจารย์ที่มีศิษย์จำนวนมาก เมื่อถึงคราลาสิกขา ย่อมสร้างความสนใจใคร่รู้ เมื่อไม่รู้ในเวลาอันเหมาะสมจากแหล่งข่าวที่เหมาะสม และต่อมาก็รู้ในลักษณะที่เกินคาดหมาย ผ่านสื่อสังคมอิเล็กทรอนิกส์ กระแสวิพากษ์วิจารณ์จึงมีมากมาย

สิ่งที่น่าจะได้มาจากกรณีนี้คือ
   (1) บทเรียนว่าด้วยการบริหารจัดการข่าว
   (2) ได้ทดสอบความ "แม่น" ในพระธรรมวินัย ของแต่ละคน

วัดป่าสุนันทาราม ออกข่าวเรื่องพระภิกษุมิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขา โดยทางวัดกล่าวจะแจ้งเหตุผลในภายหลัง แต่ก็เงียบหายไร้ข่าวอย่างเป็นทางการจากวัดหรือภิกษุในข่าว ความเงียบในเรื่องของภิกษุผู้อยู่ในสถานะเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์ทั่วไป และเขียนหนังสือที่แจกกันอย่างแพร่หลาย ย่อมสร้างข่าวลือ และข่าวลือไม่เคยเป็นคุณต่อใคร นี่เป็นบทเรียนสำคัญด้านประชาสัมพันธ์ ที่ทราบกันดีแต่ก็พลาดกันครั้งแล้วครั้งเล่า


 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ข่าวมาแพร่ทางสื่อด้วยภาพหวานแหววของฆราวาสมิตซูโอะ กับสตรีนางหนึ่ง พร้อมกับข้อความอันแสดงถึงความสนิทเสน่หา ไปในทำนองที่ว่า
      "ความรักเหมือนโรคา   บันดาลตาให้มืดมน
       ไม่ยินและไม่ยล           อุปสรรคใดใด
       ความรักเหมือนโคถึก    กำลังคึกผิขังไว้
       ก็โลดจากคอกไป         บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
       ถึงหากจะผูกไว้             ก็ดึงไปด้วยกำลัง
       ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง            บ่ หวนคิดถึงเจ็บกาย" (มัธนะพาธา)

สานุศิษย์บางรายผิดหวัง บางรายรับว่าเป็นกรรมเก่าที่ผูกพันกันมา บางรายสรุปว่า "ดีกว่าทำในผ้าเหลือง" และบางรายเสนอด้วยว่า "ถ้าไม่พอใจเป็นผู้ครองเรือน จะบวชใหม่ก็ได้" ทั้งหมดนี้เกิดเป็นคำถามหลายคำถามที่ต้องหาคำตอบ


 :welcome: :welcome: :welcome:

เรื่องกรรมเก่า
ถ้าหากเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เราต้องเชื่อว่า กรรมในปัจจุบันสำคัญ มิใช่ว่าทุกอย่างในวันนี้เกิดจากกรรมเก่า (เป็นกรรมลิขิต แบบพรหมลิขิต) ถ้าเชื่อเช่นนั้น มนุษย์เราคงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ในทางธรรม

กรณีที่เกิดขึ้นตอบได้เพียงว่า ในชาตินี้พระภิกษุผู้ออกบวชด้วยมุ่งหวังบรรลุโลกุตรธรรม ได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตหวนกลับไปหาโลกียวิสัยแล้ว ถ้าจะโทษกรรมเก่า ก็ต้องบอกว่า นี่เป็นการพ่ายแพ้ต่อกรรมเก่า

กรณีการทำผิดหรือไม่ผิดพระวินัย และการบวชใหม่ ขอทวนพระวินัยกันก่อน ถ้าเชื่อได้แน่ว่า ไม่ได้เสพสังวาสกับสตรีระหว่างอยู่ในผ้าเหลือง ก็ไม่ผิดวินัยถึงปาราชิก สามารถบวชใหม่ได้ แต่ถ้าผิดวินัยข้อนี้ ถือว่าพ่ายแพ้ต่อโลกียวิสัย ขาดจากความเป็นภิกษุ แม้ไม่สึกก็ไม่ใช่พระอีกต่อไป จะบวชอีกได้หรือ ความจริงในเรื่องนี้มีคนอย่างน้อยที่สุดก็เพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้


 ask1 ask1 ask1

พระวินัยข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสตรีมีอีกมาก เพื่อป้องกันผู้อยู่ในเพศบรรพชิตมิให้ตกลงไปในบ่วงเสน่หา ที่ร้อยรัดสัตว์โลกไว้ในสังสารวัฏ เช่น
  - การลูบคลำร่างกายหญิงด้วยความจงใจ และพูดเกี้ยวหญิง ผิดในระดับสังฆาทิเสส ต้องสารภาพต่อภิกษุอื่น และอยู่ปริวาสกรรมตามที่ภิกษุร่วมกันกำหนด
  - นั่งในที่ลับตา หรือลับหู สองต่อสองกับหญิง เป็นพระวินัยระดับอนิยตะ ความผิดไม่ชัดเจน ต้องสอบสวนก่อนตัดสินว่า เป็นปาราชิก สังฆาทิเสส หรืออาบัติระดับปาจิตตีย์ (คือแสดงอาบัติ และจะไม่ทำอีก)
  - ส่วนพระวินัยระดับปาจิตตีย์ ที่ละเมิดแล้วต้องแสดงอาบัติ เกี่ยวกับสตรี (รวมภิกษุณี) มีอีกหลายข้อ เช่น ห้ามสอนภิกษุณีตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว
  - ห้ามเข้าไปสอนถึงที่อยู่เว้นแต่พระภิกษุณีเจ็บป่วย (การอ้างเจ็บป่วย ต้องการภิกษุมาเทศน์โปรดถึงในห้อง สองต่อสอง สึกพระมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล)
  - ห้ามเดินทางไกลร่วมกับภิกษุณี เว้นแต่ทางมีอันตราย ห้ามลงเรือ (คงหมายถึงโดยสารยานพาหนะ) ร่วมกับภิกษุณี เว้นแต่ข้ามฟาก (คงหมายถึงยานพาหนะรับจ้างเป็นสาธารณะ)
  - ห้ามชวนหญิงเดินทางร่วมกัน
  - ห้ามพูดสองต่อสองกับหญิงเกิน 6 คำ เว้นแต่มีผู้ชายรู้เดียงสาอยู่ด้วย
  - ห้ามอยู่ในห้องสองต่อสองกับหญิง
  - ห้ามอยู่ในที่ลับหูสองต่อสองกับหญิงแม้เป็นที่แจ้ง (ที่ลับหูคือพูดกันคนอื่นไม่ได้ยิน)

การที่พระภิกษุรูปหนึ่งจะรักใคร่เสน่หากับใครนั้น หากว่าไม่ได้เคยผิดพระวินัยข้ออื่นๆ มาก่อน ก็นับว่าได้ประพฤติตนเคร่งครัดดี แต่ถ้าเคยผิดแล้วไม่ได้แสดงอาบัติ ก็ต้องตั้งข้อกังขา ถ้าแสดงอาบัติไว้แล้ว และเกิดขึ้นบ่อยกับสตรีคนเดียวกัน นับว่าคนในสำนักน่าจะระแคะระคายมาบ้างแล้ว


 :96: :96: :96:

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการวางท่าทีต่อสตรีไว้ในมหาปรินิพพานสูตร (ข้อ 132) ดังนี้
    พระอานนท์ถาม "พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติในมาตุคามอย่างไร"
    พระพุทธเจ้าตอบ
    "ไม่ดู อานนท์"
    "เมื่อมีการดู จะพึงปฏิบัติอย่างไร"
    "ไม่พูดด้วย อานนท์"
    "เมื่อมีการพูด จะพึงปฏิบัติอย่างไร"
    "พึงตั้งสติไว้ อานนท์"


 ans1 ans1 ans1

ควรที่เหล่าสตรีที่ต้องการรักษาภิกษุที่ตั้งใจครองเพศบรรพชิต ให้ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตได้ตลอดชีวิต พึงระมัดระวังตนเองด้วย เช่น ไม่ไปประจ๋อประแจ๋ ใกล้ชิดสนิทสนมกับภิกษุให้มากนัก ควรระลึกไว้เสมอว่า พระภิกษุที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่นั้น แท้ที่จริงท่านก็คือปุถุชนแบบเราๆ นี่เอง ยังวอกแวก ฟุ้งซ่านด้วยตัณหาราคะอันละได้ยากอยู่เช่นกัน

ที่แตกต่างกับเราๆ ที่เป็นคฤหัสถ์ ก็ตรงที่ท่านได้แสดงตนว่า ท่านต้องการปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้น ก็ควรที่จะช่วยท่านให้สมความตั้งใจของท่าน พระวินัยของภิกษุจึงเป็นสิ่งที่อุบาสก อุบาสิกา และเหล่าฆราวาสควรจะรู้ด้วย เพื่อกำกับตนและกำกับดูแลภิกษุไปพร้อมๆ กัน

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377601136&grpid=01&catid=&subcatid=
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ