ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต  (อ่าน 2947 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29351
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต
« เมื่อ: กันยายน 02, 2013, 09:17:36 am »
0


ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต

การเข้าถึงธรรมะนั้น จะเห็นได้ว่าธรรมะที่แท้จริงมีความหลากหลายมากมาย การที่มีคนมาบัญญัติว่า “ธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด” และนำมาเผยแพร่สั่งสอนนั้น สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่จะเป็นการปิดกั้นภูมิรู้ต่อผู้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติสมาธิ ผู้ศึกษาธรรม เพราะธรรมะอันเป็นธรรมชาติ ธรรมะอันของเที่ยงแท้นั้นเป็นของกลางๆ ที่ใครก็ตามเข้าใจได้ เข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าพูดหรือนำมาสอนเท่านั้น

การเข้าถึงธรรมะจะเป็นการเข้าถึงแบบไร้รูปแบบ มันจะเกิดภายในใจของเราจากการเข้าใจในสรรพสิ่งอันเป็นธรรมชาติ เกิดจากการถอดถอนความคิดเป็นส่วนๆ จนจิตเราเข้าสัมผัสกับธรรมชาติ

“ธรรมะเป็นธรรมชาติของจิต” ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรมะนี้ พอเริ่มที่จะยัดเยียดว่าเป็นของของใครคนใดคนหนึ่ง แม้กระทั่งว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้นถึงจะเป็นธรรมะที่แท้จริง เริ่มมากำหนดความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของว่าเป็นของของฉัน ของของเธอขึ้นมา ธรรมะนั้นจะไม่เป็นธรรมชาติ


 ans1 ans1 ans1

ธรรมะเป็นของที่มีอยู่แล้ว เราเกิดมาก็แสวงหาแนวทางที่จะเข้าถึงธรรมะ ก็คือแนวทางที่จะเข้าถึงธรรมชาติ ผู้ที่มีความรู้ก็ได้สั่งสอนวิธีที่จะเข้าถึงธรรมะไว้หลายอย่างหลายวิธี ให้ใช้ปัญญาในการไตร่ตรองในวิธีการนั้นๆ
แต่การที่ใครมากำหนดกฎเกณฑ์ว่าอะไรถูก-อะไรผิดนั้นไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องมองให้หลากหลาย สิ่งใดที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้ ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้ ในขณะเดียวกันวิธีการก็จะต้องไม่เพ้อเจ้อเหลวไหล อะไรก็ตามที่ขาดเหตุผลมากำกับ มันก็อาจจะนำไปสู่วิธีการที่ไม่ถูกต้อง

ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถไปตีกรอบให้กับธรรมะได้ ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้อย่างนั้น ธรรมะไม่มีเป็นของของใคร ใครที่เข้าถึงธรรมชาติได้ คนนั้นเข้าถึงธรรมะได้

แม้กระทั่งการปฏิบัติสมาธิภาวนา พอเรากำหนดจิตเรา ใช้ลมหายใจหรือคำภาวนาเป็นเครื่องรู้ของจิต จิตก็จะกำหนดรู้ในลมหายใจหรือคำภาวนา กำหนดรู้ในความว่างและช่องว่าง จิตก็เริ่มได้สมาธิ





ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าใช้การเทศนาในการอบรมจิต เพราะมนุษย์เข้าใจคำพูด มนุษย์เป็นผู้สอนตัวเองได้เมื่อได้รับแนวทางในการดำรงจิต แต่การพูดนั้นพุ่งตรงไปยังจิต เป็นการพูดแสดงปาฏิหาริย์ พูดไปตรงกับใจของคนฟัง ตรงกับข้อติดขัดทางธรรมะของผู้นั้น เมื่อผู้นั้นไตร่ตรองพิจารณาแล้ว แต่ยังเกิดความติดขัดไม่เข้าใจ
พระพุทธเจ้าก็เทศนาในส่วนตรงที่ขาดหายไปของเขา เพื่อให้เขาเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา

ในสมัยพุทธกาลมีคนที่ฟังเทศนาอันนี้แล้วสามารถสำเร็จมรรคผลนิพพาน ซึ่งเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการแสดงธรรมอันเป็นปาฏิหาริย์ เมื่อแสดงธรรมตรงกับส่วนที่ขาดหายไปจนเกิดเป็นความเข้าใจ เกิดปัญญาการหลุดพ้น นั่นก็เป็นการเข้าถึงธรรมะด้วยการแสดงธรรมเทศนา ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติที่นั่งเงียบๆ เกิดการหลุดพ้นได้โดยที่จิตไม่จำเป็นต้องไปอยู่ในภาวะญาณ

อาการรู้ของใจเมื่อเกิดอาการรู้อย่างแท้จริงจะไม่มีวันเสื่อมถอย จะไม่มีวันลืม เรียกว่าดวงตาเห็นธรรมะขึ้นมา อาการรู้ของจิตในลักษณะนี้เกิดได้หลายวิธี แม้แต่การฟังเทศนาธรรม เพราะแท้ที่จริงแล้ว ธรรมะหรือพระนิพพานไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ไม่ใช่การทำญาณที่จะต้องอยู่ในภวังคจิตซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย


 :25: :25: :25:

การที่จะได้ธรรมะก็มาจากการทำสมาธิ ซึ่งก็คือก ารอบรมใจให้อยู่ในสภาวะที่มันเป็นตัวของตัวเอง ไม่หลง คือเรารู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาวะความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น ถ้าเราหลงอยู่ในสมมติบัญญัติต่างๆ ไอ้เจ้าจิตที่เราว่านี้จะไม่รู้ความจริง แต่มันรู้อาการปรุงแต่ง เกิดความหลงเพลิดเพลินไป ทำอย่างหนึ่งก็ไปคิดอย่างหนึ่ง ไม่อยู่กับสิ่งที่ทำ

ถ้าใจอยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบันแล้ว มันจะก่อให้เกิดความรู้ขึ้นมากมาย ความรู้นี่เป็นบาทฐานให้เราเกิดสติปัญญา จนกระทั่งเกิดปัญญาพระนิพพาน รู้ไปจนถึงว่าวิญญาณธาตุมันไม่มีตัวตน รู้ว่ามันมีอวิชชาความหลงของจิตในวิญญาณ ดวงจิตยังมีการเข้าใจผิด และเมื่อเกิดปัญญาธรรมเข้าใจในธรรมชาติแล้ว ก็ยังรู้ไปถึงการถอดถอนความหลง ความเข้าใจผิดของจิตดวงนี้ได้ยังไง นี่คือภาวะกระแสพระนิพพานที่แท้จริง ที่ไม่ติดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่.


ทีมา http://www.thaipost.net/tabloid/010913/78630
ขอบคุณภาพจาก http://www.madchima.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ