« เมื่อ: ตุลาคม 28, 2013, 08:24:55 am »
0
นิพพาน คือ อนัตตา (2)
การที่จิตเรายังยึดมั่นว่า มันยังมีของของเรา เป็นวิญญาณของเรา เป็นจิตของเรา ทุกวันนี้เราศึกษาเรื่องจิตก็ยังรู้สึกว่ าเป็นจิตของเราเป็นวิญญาณของเรา เจ้าสิ่งนี้ก็เลยเป็นตัวเป็นตน เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าจิตของเรา วิญญาณของเราถึงแม้ว่าจะพิจารณาเห็นเป็นในรูปนามธรรมแล้วก็ตาม แต่ว่าก็ยังมีเจ้าของเข้าไปครอบครองดวงจิตนี้ เพราะว่าเราคิดว่าเป็นของของเรา
เมื่อจิตเป็นของของเรา คือ ส่วนประกอบของจิตที่เป็นกรรมดี-กรรมชั่วต่างๆ มันก็เป็นของของเราด้วย ส่วนประกอบทั้งก้อนมันเลยเป็นของของเรา จิตและวิญญาณก็นำพาเราไปเกิดในภพภูมิต่างๆ จิตสะสมเรื่องราวต่างๆ ไว้ เราเกิดที่ไหนแบบไหน อย่างไร ถึงความฝันที่ผ่านมา จิตดวงนี้ก็บันทึกเก็บไว้ ทั้งกรรมดี-กรรมชั่ว จิตดวงนี้ก็บันทึกเก็บไว้ พอไปเกิดในภพภูมิไหนก็จะเอากรรมดี-กรรมชั่วที่บันทึกไว้มาเป็นบทของชีวิตนั้นต่อไป วนเวียนอยู่อย่างนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น

การเกิดตายอยู่ในความคิดความฝัน สลับเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ หาทางออกไปไม่ได้ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มา 2500 กว่าปีแล้ว ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราต่างเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมิติของความฝันนี่เอง จิตดวงนี้ยึดที่ไหน ปรุงที่ไหน ก็เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น แท้ที่จริงไม่เคยมีอะไรอยู่จริงเลย มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่จิตไปยึดว่าจริงมันก็เกิด
ในที่นี้เราเกิดในมิติของความฝัน ความคิด-ความฝันเป็นมิติที่ดึงจิตเราให้หลงเชื่อว่าจริง พอมันเชื่อว่าจริง ดวงจิตวิญญาณก็ท่องเที่ยวไปยังมิติความฝันไม่รู้จักจบจักสิ้น
ยิ่งยึดที่ไหน ยิ่งปรุงที่ไหน ก็ยิ่งเกิดยึดมั่นถือมั่นไปเรื่อย นี่เป็นเพราะอำนาจความคิดเราทั้งสิ้น ตกอยู่ในมายาความคิดอย่างแยกไม่ออก แยกไม่ออกระหว่างความคิดความฝัน มิติต่างมีมากมายเช่นกัน แต่ว่าความฝันเรื่องที่เรามาเกิดมันดูเป็นจริงเป็นจังมาก จนเราแยกไม่ออกว่ามันเป็นเพียงความฝัน
ยกเว้นแต่เรามีความตั้งมั่นปฏิบัติสมาธิภาวนา จนจิตเกิดความตั้งมั่นสูง ถึงจะเริ่มมองเห็นความจริงว่า สิ่งที่เราอยู่มันไม่เป็นจริง มันอาจจะเป็นแค่ภาพฝันของตนเอง พอเราเริ่มเห็นความจริงแล้ว เราจะเห็นว่าเราเป็นเพียงมิติของความฝันที่เราดำรงอยู่ในความฝันนั้น หาทางออกไปไหนไม่ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้
แท้ที่จริงแล้ว มิติความฝันนี้มันไม่มีตัวตนอยู่ ต่อเมื่อมีคนเชื่อว่ามันเป็นจริง มันก็เป็นจริงตามที่เชื่อ ดวงจิตนี้มันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันน้อมนำไปสู่อารมณ์ ไปเกิดความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์นั้น
เกิดอวิชชาคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้น ธาตุรู้ก็เกิดมีเจ้าของขึ้นมา
แต่เดิมธาตุรู้ก็เป็นธาตุรู้เฉยๆ เป็นมโนธาตุมโนจิตที่ไม่มีเจ้าของ
ต่อเมื่อมันมีเจ้าของขึ้นมา มันเลยกลายเป็นจิตของเรา ตัวของเรา แยกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
พอมีจิตของเราวิญญาณของเราแล้ว ก็เกิดการท่องเที่ยวไปในมิติความคิดความฝัน มีกรรมสัมพันธ์กัน ก็กลับมาเกิดในความฝันเรื่องเดียวกัน มีกรรมผูกพันกันก็มีการวนเวียนร่วมกัน ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่ามันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ความในจิตว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดในจิตเราเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดเลยนอกจากปรากฏการณ์ความคิดที่เกิด แล้วเข้าไปยึดมั่นว่ามันเป็นความจริงที่มา
http://www.thaipost.net/tabloid/271013/81218ขอบคุณภาพจาก
http://www.flickr.com/photos/90000460@N08/with/8174856134/