ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นิพพาน คือ อนัตตา (2)  (อ่าน 2380 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
นิพพาน คือ อนัตตา (2)
« เมื่อ: ตุลาคม 28, 2013, 08:24:55 am »
0


นิพพาน คือ อนัตตา (2)

การที่จิตเรายังยึดมั่นว่า มันยังมีของของเรา เป็นวิญญาณของเรา เป็นจิตของเรา ทุกวันนี้เราศึกษาเรื่องจิตก็ยังรู้สึกว่ าเป็นจิตของเราเป็นวิญญาณของเรา เจ้าสิ่งนี้ก็เลยเป็นตัวเป็นตน เป็นความยึดมั่นถือมั่นว่าจิตของเรา วิญญาณของเราถึงแม้ว่าจะพิจารณาเห็นเป็นในรูปนามธรรมแล้วก็ตาม แต่ว่าก็ยังมีเจ้าของเข้าไปครอบครองดวงจิตนี้ เพราะว่าเราคิดว่าเป็นของของเรา

เมื่อจิตเป็นของของเรา คือ ส่วนประกอบของจิตที่เป็นกรรมดี-กรรมชั่วต่างๆ มันก็เป็นของของเราด้วย ส่วนประกอบทั้งก้อนมันเลยเป็นของของเรา จิตและวิญญาณก็นำพาเราไปเกิดในภพภูมิต่างๆ จิตสะสมเรื่องราวต่างๆ ไว้ เราเกิดที่ไหนแบบไหน อย่างไร ถึงความฝันที่ผ่านมา จิตดวงนี้ก็บันทึกเก็บไว้ ทั้งกรรมดี-กรรมชั่ว จิตดวงนี้ก็บันทึกเก็บไว้ พอไปเกิดในภพภูมิไหนก็จะเอากรรมดี-กรรมชั่วที่บันทึกไว้มาเป็นบทของชีวิตนั้นต่อไป วนเวียนอยู่อย่างนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น


 :25: :25: :25:

การเกิดตายอยู่ในความคิดความฝัน สลับเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ หาทางออกไปไม่ได้ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มา 2500 กว่าปีแล้ว ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราต่างเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมิติของความฝันนี่เอง จิตดวงนี้ยึดที่ไหน ปรุงที่ไหน ก็เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น แท้ที่จริงไม่เคยมีอะไรอยู่จริงเลย มันเป็นเพียงแค่ความฝันที่จิตไปยึดว่าจริงมันก็เกิด

ในที่นี้เราเกิดในมิติของความฝัน ความคิด-ความฝันเป็นมิติที่ดึงจิตเราให้หลงเชื่อว่าจริง พอมันเชื่อว่าจริง ดวงจิตวิญญาณก็ท่องเที่ยวไปยังมิติความฝันไม่รู้จักจบจักสิ้น

ยิ่งยึดที่ไหน ยิ่งปรุงที่ไหน ก็ยิ่งเกิดยึดมั่นถือมั่นไปเรื่อย นี่เป็นเพราะอำนาจความคิดเราทั้งสิ้น ตกอยู่ในมายาความคิดอย่างแยกไม่ออก แยกไม่ออกระหว่างความคิดความฝัน มิติต่างมีมากมายเช่นกัน แต่ว่าความฝันเรื่องที่เรามาเกิดมันดูเป็นจริงเป็นจังมาก จนเราแยกไม่ออกว่ามันเป็นเพียงความฝัน





ยกเว้นแต่เรามีความตั้งมั่นปฏิบัติสมาธิภาวนา จนจิตเกิดความตั้งมั่นสูง ถึงจะเริ่มมองเห็นความจริงว่า สิ่งที่เราอยู่มันไม่เป็นจริง มันอาจจะเป็นแค่ภาพฝันของตนเอง พอเราเริ่มเห็นความจริงแล้ว เราจะเห็นว่าเราเป็นเพียงมิติของความฝันที่เราดำรงอยู่ในความฝันนั้น หาทางออกไปไหนไม่ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้

แท้ที่จริงแล้ว มิติความฝันนี้มันไม่มีตัวตนอยู่ ต่อเมื่อมีคนเชื่อว่ามันเป็นจริง มันก็เป็นจริงตามที่เชื่อ ดวงจิตนี้มันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันน้อมนำไปสู่อารมณ์ ไปเกิดความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์นั้น
     เกิดอวิชชาคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้น ธาตุรู้ก็เกิดมีเจ้าของขึ้นมา
     แต่เดิมธาตุรู้ก็เป็นธาตุรู้เฉยๆ เป็นมโนธาตุมโนจิตที่ไม่มีเจ้าของ
     ต่อเมื่อมันมีเจ้าของขึ้นมา มันเลยกลายเป็นจิตของเรา ตัวของเรา แยกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา


พอมีจิตของเราวิญญาณของเราแล้ว ก็เกิดการท่องเที่ยวไปในมิติความคิดความฝัน มีกรรมสัมพันธ์กัน ก็กลับมาเกิดในความฝันเรื่องเดียวกัน มีกรรมผูกพันกันก็มีการวนเวียนร่วมกัน ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่ามันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ความในจิตว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดในจิตเราเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นใดเลยนอกจากปรากฏการณ์ความคิดที่เกิด แล้วเข้าไปยึดมั่นว่ามันเป็นความจริง


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/271013/81218
ขอบคุณภาพจาก http://www.flickr.com/photos/90000460@N08/with/8174856134/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: นิพพาน คือ อนัตตา (2)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 28, 2013, 08:07:51 pm »
0
ขออนุโมทนาสาธุ :043: :043:
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา