ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'ญาณสังวร' แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (3)  (อ่าน 1459 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29522
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'ญาณสังวร' แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (3)
« เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2013, 08:40:31 am »
0


'ญาณสังวร' แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (3)
'ญาณสังวร'แห่งกรุงรัตนโกสินทร์(3) : มนสิกุล โอวาทเภสัชช์รายงาน

วันที่ 24 ตุลาคม 2556 เวลา 19 นาฬิกา 30 นาที สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สิ้นพระชนม์อย่างสงบ เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ท่ามกลางความโศกเศร้าของพุทธศาสนิกชนไทยทั้งแผ่นดินที่สูญเสียสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้มีพระจริยวัตรอันงดงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลายตลอดพระชนม์ชีพ 100 ปี 21 วัน พรรษาที่ 80

หลังจากนั้นหนึ่งวันก็มีประกาศจากสำนักพระราชวัง เรื่องไว้ทุกข์ในพระราชสำนัก พ.ศ.2556 ตอนหนึ่งความว่า...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วยความเศร้าสลดพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ทุกข์ในพระราชสำนักจาก 15 วัน เป็น 30 วัน นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม ถึงวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน

และโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร และถวายพระเกียรติยศตามพระราชประเพณีทุกประการ โดยมีพระสงฆ์พร้อมใจกันสวดมนต์ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพอย่างเนืองแน่น และประชาชนมหาศาลได้เดินทางเข้าร่วมฟัง และถวายอภิสัมมานสักการะแด่องค์สมเด็จพระสังฆราช ณ พระตำหนักเพ็ชร ทุกวัน


             :welcome: :welcome: :welcome:

เหตุที่เป็นเช่นนั้นคงจะมีประการเดียวที่สำคัญยิ่งคือ ทรงมีความเมตตากรุณาแก่ทุกคนประดุจฝนที่ฉ่ำเย็นที่ตกไปทั่วทุกแห่งหนอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งก็มาจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเห็นแจ้งในสัจธรรมของชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้ เป็นทุกข์ และไร้ตัวตนที่จะไปยึดไว้ได้ ตามรอยบาทพระบรมศาสดาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชนิดก้าวต่อก้าวจวบจนวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์นั่นเอง

ดังที่ พระราชรัตนมงคล (ดร.มนตรี อภิมนฺติโก) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เล่าให้ฟังว่า การภาวนาทำให้เข้าใจว่า ชีวิตไม่แน่นอน ชีวิตนี้น้อยนัก ตามที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงสอน

   "ลาภ ยศ นินทา สุขทุกข์ สรรเสริญอะไรทั้งหลายทั้งปวง มันไม่จีรังยั่งยืน แต่คนก็หลง ทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องเหล่านี้ แก่งแย่งกัน เมื่อเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นให้มีสติว่า แย่งไปทำไม คนทำใจได้ไหม ส่วนมากทำไม่ได้ คนเราหาเงินแทบตาย พอมีเงินก็อยากมีอย่างอื่น มีมากๆ แล้วได้อะไรขึ้นมา
   สุดท้ายก็ตาย ไม่ได้อะไร ให้เข้าใจ ให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เขาว่ามาก็ว่าตามไปที่เขาว่า มันต้องเกิดจากใจตัวเองที่เห็นเอง การฝึกสมาธิก็เพื่อให้เกิดปัญญา ให้รู้ถึงความไม่จีรังยั่งยืนของตัวเรา ของสังขารร่างกาย เห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง ถ้าเราปล่อยวางได้ ใจเราจึงจะสงบ ที่พูดนี่ มันทำยาก แต่ก็ต้องฝึกปฏิบัติ ต้องมีปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะปล่อยวางได้

             ans1 ans1 ans1

    "เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านประชวรหลายครั้ง ครั้งหนักๆ ก็ปี 2545-2546 หัวใจท่านเคยหยุดเต้น แล้วก็ปั๊มคืน ท่านก็มีสติคืนมา เหมือนคนที่สลบไป เมื่อมีสติคืนมาเราก็ดีใจ ท่านกลับมาแล้ว หมอฉีดยาให้ยาท่านเสร็จ ท่านก็คุยได้ ท่านรับสั่ง เราก็อยากเล่าให้ท่านฟังว่า หัวใจฝ่าบาทหยุดเต้นไปประมาณ 2-3 นาทีแล้วนะ ท่านก็รับสั่งว่า อ้าว แล้วปั๊มคืนมาทำไม"

    "คือบางช่วงท่านก็ประชวรหนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าหนักตลอด บางช่วงก็เป็นไข้หนัก หมอให้ยารักษาก็ฟื้นกลับแข็งแรงก็คุยได้ ปีนี้ที่หนักก็คือเดือนสิงหาคม เส้นพระโลหิตแตกที่พระศอ ก็ซ่อมเส้นพระโลหิต ทรงรู้ตัวว่าพระองค์ผิดปกติ ช่วงหลังวันประสูติแล้ว มีการติดเชื้อที่ลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็ก มีแผลในลำไส้ ถ้าไม่รักษาก็จะลุกลาม หมอก็ต้องตัดสินใจว่าต้องผ่าตัด มีวิธีเดียว ไม่มีทางเลือก จากห้องผ่าตัดก็อยู่ในเกณฑ์ดี
     แต่ภายหลังท่านติดเชื้อในกระแสโลหิต ในระหว่างที่ประชวรหนัก ขึ้นๆ ลงๆ หลายครั้ง เหมือนท่านเข้าฌาน เพราะในกราฟของเครื่องบอกการเต้นของหัวใจและความดัน ซึ่งบางทีหมอก็งง บางครั้งแทนที่มันจะตกลงไปเรื่อยๆ กลับฟื้นขึ้นมา แล้วก็ทรงอยู่เหมือนนั่งสมาธิ
     ช่วงสุดท้ายหัวใจอยู่ในระดับนิ่งนานพอสมควร วันที่ท่านจะสิ้นพระชนม์ เหมือนคนออกจากสมาธิแล้วนิ่งไปเฉยๆ ไม่มีอาการอะไร พอถึงเวลาก็หายวับไปเฉยๆ หมอเองก็งง ดูจากกราฟการเต้นของหัวใจและความดัน ท่านคงละสังขารไป ละแบบไหนล่ะ ท่านไปแบบมีสติตลอด"


             :25: :25: :25:

สำหรับความรู้สึกของ พระอาจารย์ ดร.มนตรี ที่ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในช่วงเวลานั้นสภาวะจิตของตัวท่านเองเป็นอย่างไร

ท่านเมตตาอธิบายว่า เนื่องจากอยู่กับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มานาน อยู่กับเหตุการณ์ประชวรก็หลายครั้ง บางครั้งท่านก็ประชวรหนัก บางทีท่านก็รับสั่งว่า ไม่อยากอยู่แล้วก็มี บางทีเราก็ขอไว้ ขอให้ท่านอย่าเพิ่งไป ขอให้อยู่จนถึงอายุ 120 ปี ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า คุณมนตรีก็อยู่ด้วยกัน อย่าให้อยู่คนเดียว เวลาขอให้อายุยืนก็พูดตลกๆ บ้าง 

             st12 st12 st12

    "จิตของอาตมาอาจจะไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะเราทราบอยู่แล้วว่า อายุขนาดท่าน วันหนึ่งก็ต้องไป พระอาการก็ป่วยกระเสาะกระแสะมาอย่างนี้ ก็ทราบกันอยู่ เพียงแต่เราฝืนท่าน อยากให้ท่านอยู่กับเรานานๆ ก็เป็นความรู้สึกของเราเอง เพราะฉะนั้นเมื่อท่านถึงเวลาไป การทำใจก็มีแล้ว สำหรับตัวอาตมาผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาหลายครั้ง ก็เลยไม่ค่อยถึงขนาดขาดสติ

    อาตมาเคยอยู่กับท่านอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) ท่านก็เครื่องบินตกถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี 2523 โยมแม่ก็สิ้นไปแล้ว โยมพ่อก็สิ้นไปแล้ว โยมยาย โยมตา หมดแล้ว เพราะฉะนั้นผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาหลายรอบ แต่ลูกศิษย์หลายคนก็เศร้าใจ
    เพราะว่าเขาเพิ่งผ่านประสบการณ์การพลัดพรากครั้งแรก ก็เศร้าทั้งนั้น แต่เวลาจะช่วยได้ ต้องใช้เวลา แม้รู้ว่าเหตุการณ์จะเกิดเราจะเสียใจ เมื่อเวลาเกิดขึ้นจริงๆ เราก็ต้องทำใจ ถามว่าเรียนกรรมฐานไปทำไม ก็นี่แหละ เอามาใช้ตอนนี้แหละ ให้รู้จักศึกษา มีปัญญา ในที่นี้คือ ความตาย มันหลีกไม่พ้น แม้แต่ตัวเราเอง


             gd1 gd1 gd1

พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นอีกท่านหนึ่งที่ถวายงานเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อย่างใกล้ชิดมาตลอด เล่าถึงสภาวะจิตใจของท่านในช่วงนั้นว่า เนื่องจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ประชวรมานาน ทางการแพทย์อธิบายให้ฟังว่า
   พระวรกายหรือพระสรีระของพระองค์นั้นทรุดโทรมสมแก่วัยของพระองค์ที่เจริญพระชนม์มาถึง 100 ปี เพราะฉะนั้นอวัยวะของร่างกายหลายๆ ส่วนของพระองค์ก็เริ่มที่จะไม่ทำงานเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ ทางการแพทย์อธิบายขั้นตอนให้เห็นว่า สิ่งใด ส่วนไหนบ้างของร่างกายที่ไม่ทำงาน ก็เกินไปกว่าทางการแพทย์จะเยียวยาและถวายการรักษาได้

  "สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ พระองค์ช่วงที่ประชวรอยู่ เหมือนพระองค์นั่งปฏิบัติสมาธิ ส่วนที่เป็นพระสรีระของพระองค์ก็อาจใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็เป็นหน้าที่ของคณะแพทย์ที่ถวายการรักษา แต่ในเรื่องของพระจิตนั้น ก็คงยากที่จะทำความเข้าใจว่า พระองค์ดำริอะไรอยู่ พระองค์มีการพัฒนาอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ จากเครื่องวัดพระหฤทัยของพระองค์ กับเรื่องของความดัน ก็แสดงให้เห็นว่า สภาวะจิตของพระองค์ในระดับหนึ่งก็คือ มีความสงบ สม่ำเสมอ

    จนทางการแพทย์บอกว่า มันก็ยาก หรือเกินกว่าที่ทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายอะไรได้ เป็นสิ่งที่คณะแพทย์บอกว่า แม้ว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่สามารถรับสั่งอะไรได้ ไม่สามารถสอนโดยวาจาเป็นเสียงออกมาชัดเจนได้ แต่สิ่งที่แสดงปฏิกิริยาออกมา และสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ หมอทุกคนได้บทเรียน ยิ่งกว่าบทเรียนจากตำรา ยิ่งกว่าบทเรียนจากผู้ที่สอนด้วยเสียงด้วยซ้ำไป"


             :s_good: :s_good: :s_good:

    "ในช่วงนั้น ในความคิดของอาตมาเองก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย พยายามระลึกถึงเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในคำสอนของพระองค์ที่ให้มา พยายามที่จะสวดมนต์ เพราะในห้องบรรทมนั้นเปิดเสียงสวดมนต์ของพระองค์ไว้ตลอด ในช่วงสุดท้ายของพระองค์ เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า พระองค์มีสภาวะจิตเช่นไร แต่ดูจากเครื่องมอนิเตอร์ก็แสดงให้เห็นถึงว่า

    พระองค์นั้นไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ ความดันก็ค่อยๆ ลด จากที่สูงๆ ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะลด การเต้นของพระหทัยก็ค่อยๆ ลด และในที่สุดก็หยุดเป็นช่วงๆ พอได้เวลาเครื่องก็โชว์ว่าเป็นศูนย์ ศูนย์ ส่วนพระสรีระของพระองค์ก็นิ่งไป เมื่อเครื่องแสดงทุกอย่างว่าเป็นศูนย์ ก็แสดงว่าพระองค์ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว
    ถ้าพูดถึงความรู้สึก...ท่านสอนเราในเรื่องของอนิจธรรม คือ สิ่งที่ทรงพร่ำสอนมาตลอด ก็เป็นสิ่งที่เราควรที่จะจรดใส่เกล้าใส่กระหม่อม ถวายเป็นสังฆราชบูชา นั่นคือสิ่งที่อาตมารู้สึกในช่วงนั้น"


    :25: :25: :25:

แม้เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ไปเพียงสังขาร แต่ธรรมะที่พระองค์ดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้าทุกย่างก้าว ยังคงอยู่ และมีเพียงพอที่เราจะนำมาปฏิบัติขัดเกลาตนให้สิ้นทุกข์ได้เช่นกัน ดังที่พระองค์ท่านทรงทำให้ดู อยู่ให้เห็นมาตลอดพระชนม์ชีพว่า "ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก" จริงๆ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20131112/172566.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: 'ญาณสังวร' แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (3)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2013, 09:31:23 am »
0
 st11 st12 thk56
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ