ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องแดนสุขาวดี สังขละบุรี (ชมภาพ)  (อ่าน 1616 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ท่องแดนสุขาวดี สังขละบุรี (ชมภาพ)
« เมื่อ: ธันวาคม 21, 2013, 06:39:47 pm »
0


ท่องแดนสุขาวดี สังขละบุรี
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

ขับรถยิงยาวกว่า 400 กิโลเมตร จากเมืองกรุงมุ่งสู่เมืองชายแดนตะวันตก อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แทบสิ้นไร้เรี่ยวแรง เพราะทั้งไกล ทั้งขึ้นภูเขาคดเคี้ยวสูงชัน ไม่รู้กี่ร้อยพันโค้ง

ครั้นถึงจุดหมาย แลเห็นความงามสุดคลาสสิกของสะพานข้ามแม่น้ำซองกาเลียเท่านั้น พลันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมืองสังขละบุรี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของเหล่าแบ็กแพ็กเกอร์ที่ต้องมายลให้ได้ก่อนตาย เป็นอำเภอติดชายแดนประเทศพม่า รายล้อมด้วยขุนเขา ป่าเขียว วัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ ตลอดจนความสัมพันธ์อันแนบแน่นของชาวบ้านหลากหลายเชื้อชาติ นั่นคือ ไทย มอญ กะเหรี่ยง ลาว พม่า



แม่น้ำซองกาเลีย ภาษามอญแปลเป็นไทยได้ว่า “ฝั่งขะโน้น” แบ่งแผ่นดิน อ.สังขละบุรี ออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือตัวอำเภอ อันหมายถึงสถานที่ราชการ และอีกฝั่งหนึ่งคือสถานที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ภาพบ้านเรือนผูกติดเป็นแพผืนใหญ่กลางน้ำ บริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” หรือบริเวณที่ลำน้ำสามสาย อันได้แก่ ห้วยซองกาเลีย ห้วยบิคลี่ และห้วยรันตี ไหลมาบรรจบกันยังคงเป็นภาพอันคุ้นชินของทุกคน

เช่นเดียวกับสะพานมอญ หรือสะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลกัน สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศ (ประมาณ 1 กม.) นี้ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองสังขละ สร้างขึ้นเพื่อให้คนไทยกะเหรี่ยง และมอญได้สัญจรไปมาหาสู่กัน ทว่าเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา สายฝนโกรธเกรี้ยวพัดถล่มจนท่อนซุงจากน้ำป่าซัดจนสะพานหัก ด้วยความสามัคคีของชาวบ้านและหน่วยงานภาครัฐ ได้มีการระดมสรรพกำลังมาร่วมแรงร่วมใจสร้างสะพานลูกบวบ เพื่อสัญจรแทนสะพานเดิม โดยใช้ลำไม้ไผ่มัด รวมกันทำเป็นทุ่นลอยน้ำ ขนาดความกว้างประมาณ 6 เมตร จากนั้นนำไม้ไผ่มาผ่าเป็นแผ่นๆ แล้วผูกเชื่อมติดกันปูเป็นทางเดินยาวถึง 450 เมตร ใช้เวลาเพียง 6 วันเท่านั้น วีรกรรมอันน่ายกย่องนี้ตกเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ



ยามเช้าพระอาทิตย์ทอแสง เราจะเห็นเรือหางยาวแล่นฉิวตัดไอหมอก เด็กซนพากันกระโดดน้ำ พระสงฆ์องคเจ้าเดินชักแถวมาให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญใส่บาตร ตลาดไทยตลาดมอญคึกคัก แม่บ้านจูงมุงซื้อปลาสดๆ ผัก เครื่องเทศ ขนมนานาชนิดไปรับประทานที่บ้าน นักท่องเที่ยวเดินเล่นถ่ายรูปกันขวักไขว่ บริเวณสามประสบตรงสะพานมอญมักจะเนืองแน่นด้วยผู้คนในฤดูท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็นจะครึกครื้นมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ

สถานที่สำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือ วัดวังก์วิเวการาม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2499 โดยหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) เกจิอาจารย์ชื่อดังผู้เป็นดั่งเทพเจ้าของคนมอญ แม้ปัจจุบันท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่ยังมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างถิ่นยังนิยมเดินทางมากราบไหว้ พร้อมเที่ยวชมดูความประณีตวิจิตรของพระพุทธรูปหินอ่อนในมหาวิหาร ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น สงบ บริสุทธิ์

เจดีย์พุทธคยา เจดีย์องค์ใหญ่โดดเด่นตระการตา ยอดเจดีย์ประดับด้วยฉัตรทองคำหนัก 400 บาท เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยหลวงพ่ออุตตมะดำริให้สร้าง จำลองขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวาของพระพุทธเจ้าขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ไว้เป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชน



นอกจากนี้ ในช่วงเดือน ก.พ.ของทุกปี มีการจัดงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออุตตมะ มีกิจกรรมต่างๆประกอบด้วยพิธีกรรมทางศาสนา แข่งขันชกมวยคาดเชือก การแสดงของชมรมวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การรำแบบมอญ การรำตงของชาวกะเหรี่ยง และในงานประชาชนจะพร้อมใจกันแต่งกายตามแบบวัฒนธรรมของชาวไทยรามัญ และจัดเตรียมสำรับอาหารไปถวายพระที่วัด

มาถึงที่ถึงถิ่นแล้วอย่าลืมนั่งเรือไปชมเมืองบาดาล ซึ่งเดิมทีเป็นวัดวังก์วิเวการาม (เก่า) แต่ต่อมาปี พ.ศ. 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม ส่งผลทำให้น้ำท่วมตัว อ.สังขละบุรีเก่า รวมทั้งวัดแห่งนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงได้ย้ายมาสร้างวัดมาอยู่บนเนินเขา ขณะที่วัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปีช่วงฤดูแล้งราวเดือน มี.ค.เม.ย. น้ำจะลดจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด สามารถนั่งเรือชมและขึ้นไปทอดน่องเที่ยวชมโบสถ์ได้ด้วย

สังขละบุรีมีคำขวัญว่า “เมืองสามหมอก ดินแดนสามวัฒนธรรม” เป็นเมืองที่เงียบสงบน่ารัก ยังคงสภาพวิถีชนบทไว้ได้อย่างงดงาม แม้ความเจริญอาจรุกคืบ เห็นได้จากรีสอร์ทที่ผุดขึ้นหลายแห่ง ร้านรวงทันสมัย แต่ก็น่าดีใจทียังไม่มีร้านเหล้าเอะอะมะเทิ่ง โจ่งแจ้งขัดหูขัดตา ไม่คลาคล่ำแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แห่กันมาจนเมืองแทบแตกเหมือนอย่างสถานที่อื่นๆ ในช่วงไฮซีซั่น



ชาวบ้านยิ้มแย้มใจดี สุภาพอ่อนน้อม ต่างมีชีวิตที่เรียบง่าย ส่วนใหญ่ทำมาหากินด้วยเกษตรกรรม เช่นปลูกพืช และทำประมงพื้นบ้าน เสน่ห์อันน่าประทับใจของหมู่บ้านมอญแห่งนี้ คือ วัฒนธรรมดั้งเดิมแบบมอญที่ยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคงไม่สูญหายไปตามกาลเวลา ยังคงพูดภาษามอญ แต่งกายแบบชาวมอญสาวๆ มักจะปรากฏตัวด้วยใบหน้าที่ฉาบไปด้วยแป้งทานาคา เครื่องสำอางจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสีขาวนวล พร้อมทั้งเทินสิ่งของไว้บนศีรษะอย่างชำนิชำนาญ เป็นภาพที่ใครเห็นก็อดอมยิ้มไม่ได้

มีความสุขดั่งล่องลอยอยู่ในแดนสุขาวดี สายลมหนาว แม่น้ำสวย อาหารโอชา ผู้คนน่ารัก อยู่ได้ไม่กี่คืนก็คงต้องขอลา ก่อนกลับไม่ลืมแวะด่านเจดีย์สามองค์ แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ช่องทางเดินทัพสำคัญของศึกไทยพม่าในอดีต ซึ่งปัจจุบันยังมีคนเดินทางมาสักการะ และข้ามไปช็อปปิ้งสินค้าพม่ายังตลาดพญาตองซู ฝั่งประเทศพม่าไม่ขาดสาย

สุดท้ายจึงค่อยเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ







ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/เที่ยวทั่วไทย/264945/ท่องแดนสุขาวดี-สังขละบุรี
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Akira

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 653
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ท่องแดนสุขาวดี สังขละบุรี (ชมภาพ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2013, 09:27:54 am »
0
 st12 thk56 thk56
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ มาศึกษาธรรมะจ้า แก๊งค์ อ๊บ อ๊บ