ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดตำรับ “รักษาโรคภาษาไทย”  (อ่าน 1022 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29440
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เปิดตำรับ “รักษาโรคภาษาไทย”
« เมื่อ: ธันวาคม 23, 2013, 08:44:19 pm »
0


เปิดตำรับ “รักษาโรคภาษาไทย”
   
หลากปัญหาของเด็กไทยที่ทำให้ไม่ว่าจะมีเกณฑ์ของแหล่งสำรวจใดออกมา ก็ระบุว่ายังมีความเป็นรองกว่าเด็กชาติอื่นๆ ในด้านต่างๆ อยู่เสมอ สร้างความระทมขมขื่นกับบรรดาครูบาอาจารย์ที่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้อยู่เสมอ

    สำหรับองค์ความรู้ในสาขาวิชาอื่นๆ แม้จะถือว่าสำคัญ แต่ก็ยังนับว่าน้อยกว่าการที่เด็กขาดความสามารถในเรื่องการอ่านและการเขียนภาษาไทย อันเป็นคลังแห่งความรู้ที่เด็กๆ ควรจะมีแล้วใช้ไขประตูสู่โลกทั้งใบได้
ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จึงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1
    จัดเสวนาวิชาการ “เวทีเสวนาเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้สัญจร : ผู้นำการเรียนรู้สู่สังคมนักอ่าน” โดยมีตัวแทนจากเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมงานด้วยร่วม 100 คน


 :91: :91: :91:

ดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า 2 กรณีศึกษาจาก สพป.สงขลา เขต 2 และ สพป.ตรัง เขต 1 พบปัจจัยความสำเร็จ 5 ประการในการแก้ปัญหาอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ ได้แก่
   1.เขตพื้นที่ฯ มีการดัดแปลงนโยบายภาครัฐตามบริบทความต้องการของพื้นที่
   2.ผู้บริหารและครูหาวิธีนำนโยบายมาปรับใช้ด้วยความทุ่มเท
   3.ใช้ฐานข้อมูลความจริงและการวินิจฉัยปัญหาการอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้เป็นหลักในการแก้ปัญหา
   4.ครูมีกิจกรรมการสร้างสรรค์ที่หลากหลาย และ 5.มีการเลือกสรร “สื่อ” ที่ใช้ได้อย่างเหมาะสม


 :s_laugh: :s_laugh: :s_laugh:

    “สิ่งที่เห็นชัดคือ การวินิจฉัยโรคการอ่าน-การเขียน ที่ข้อมูลชัดเจนว่าใครเป็นอะไร เช่น ครูนงเยาว์ อุ่นนวล ครูผู้สอนโรงเรียนวัดเขากลอย จังหวัดสงขลา โรงเรียนวัดเขากลอย มีการแก้ปัญหาการอ่านใช้แนวเดียวกับการวินิจฉัยโรค เช่น เด็กบางคนเป็น "โรค ฎ ชฎา" คืออ่านออกเสียง ฎ ชฎา ไม่ชัด ทำให้การรักษาและสอนทำได้ตรงกับอาการของเด็กมากที่สุด
     ซึ่งเกิดจากความพยายามและเอาใจใส่ของทั้งครูและผู้บริหาร เริ่มจากครูที่เชี่ยวชาญประกบคู่กับครูประจำชั้นตั้งแต่ ป.1 ทำให้เห็นปัญหาของผู้เรียน กระทั่งปัญหาของครูผู้สอนเองที่บางครั้งก็สอนเด็กผิด และมีการให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมโดยใช้รูปแบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านสื่อ และต้นแบบที่ดี ซึ่งครูรุ่นใหม่ต้องสามารถเชื่อมโยงการทำงานในพื้นที่ลักษณะเครือข่ายด้วย งานเชิงพื้นที่จึงจะขยายผล”



รศ.ปภัสวดี วีรกิตติ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. เผยว่า จากเวทีวันนี้พบว่าครูมีนวัตกรรมที่น่าสนใจมากๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะ “ตำราแผนสำหรับวินิจฉัยโรคฉบับภาษาไทย” ถ้าสามารถรวบรวมก็ได้จะได้ “ตำรารักษาโรคภาษาไทยรุ่นใหม่ ให้กับเด็ก ฉะนั้นเห็นว่าควรมีการรวบรวมเทคนิคและวิธีการต่างๆ ที่มีความเฉพาะและสอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ภาษาไทยในภาคใต้ จะเป็นเครื่องมือในการช่วยให้นักเรียนมุสลิมเรียนรู้ภาษาไทยได้ดีขึ้น

ด้านนายสินอาจ ลำพูนพงศ์ สพป.เขต 1 เชียงใหม่ กล่าวว่า บริบทการเรียนการสอนทางเหนือและใต้ต่างกัน ที่คล้ายกันคือมีปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษากลางระหว่างครูและเด็ก แต่ทางเหนือจะมีจำนวนของภาษาพูดมากกว่า "ทวิภาษา" จึงเป็นวิธีการและนวัตกรรม แก้ปัญหาการเรียนการสอนในท้องถิ่นได้ดีอีกวิธีหนึ่ง แต่ต้องใช้เวลาให้ผู้เรียนพอสมควร เพราะภาษาถิ่นเป็น "ภาษาแม่" ของเขา

ทางด้าน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการ สสค. กล่าวว่า การแก้ปัญหาการอ่านหรือสอนภาษาไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย จากกรณีตัวอย่าง จังหวัดสงขลา จังหวัดตรัง จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีนวัตกรรม วิธีการสอนดีๆ มากมาย เพียงแค่มีครู ผู้บริหารที่ใส่ใจ


     :96: :96: :96:

    ฉะนั้น ทางออกของปัญหาการอ่านวันนี้ ตัวอย่างความสำเร็จของสงขลาเราพบทั้งพื้นที่เลย โดยเขตพื้นที่การศึกษามีการประสานงานเป็นชั้นๆ ลงไปที่ตัวเขตพื้นที่ฯ ศึกษานิเทศก์ โรงเรียน และถึงครู ที่สำคัญมีการติดตามให้โรงเรียนรายงานข้อมูลขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือกันถูก มีการวัดอาการกันตลอดเวลา จะรู้ตลอดว่าโรงเรียนไหนเป็นอย่างไร

    อีกทั้งมีเวลาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันตลอด ซึ่งป็นระบบการชุดเดียวกับบราซิลใช้ และได้รับการยกย่องจาก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) “การขยายผลเชิงระบบไปยังเขตพื้นที่ฯ ต่างๆ มีแรงจูงใจที่จะทำงานแบบเดียวกันในการแก้ปัญหาการอ่านออก-เขียนได้ที่ทำแล้วเกิดผลสำเร็จ
    เช่น สุโขทัย เขต 1 เชียงใหม่ เขต 2 สงขลา เขต 1 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ลงมาถอดบทเรียนและให้การยกย่องให้รางวัลเขตที่ทำงาน วางแผนเป็นระบบ เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษามีแรงจูงใจในการที่จะแก้ไขปัญหาการอ่านของประเทศได้ ขณะนี้มีประมาณ 10 เขต จาก 183 เขต ที่ทำได้สำเร็จ แต่นับว่ายังน้อยอยู่มาก
    ดังนั้น สพฐ.ต้องกระตุ้นให้เขตอื่นๆ ทำด้วย จึงควรมีส่งเสริมการสร้างเครือข่าย เช่น สพป.ตรัง เขต 1 ได้สร้างเครือข่ายขยายไปยังพื้นที่เป็นลักษณะ Networking ให้เต็มพื้นที่

     ans1 ans1 ans1

    ดร.อมรวิชช์กล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากฝากไปยัง สพฐ.ช่วยดำเนินการต่อมีสองเรื่องคือ
    1.เรื่องการอ่าน เป็นการจัดการเชิงระบบ เชิงพื้นที่ เต็มรูปจริงๆ โดยให้อำนาจ ผู้อำนวยการเขต พลิกแพลงการจัดการเองได้โดยไม่ต้องอิงกรอบจากส่วนกลางมากเกินไป
    2.ทุ่มงบประมาณในการทำเครือข่ายให้มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องลึกลับ เพียงแต่ครู ผู้บริหาร ต้องคลายกฎเกณฑ์จากส่วนกลางกับความไม่เสถียรนโยบาย ระเบียบ เพราะทำให้ครู ผู้บริหารเสียสมาธิ ทำงานลำบาก ฉะนั้น สพฐ.ต้องส่งเสริม กระตุ้น ให้เกิดนวัตกรรมเชิงพื้นที่ให้มากๆ เพื่อจะได้เห็นความสำเร็จขยายตัวออกไปได้”


    ผลจากการเสวนาจากเวทีดังกล่าว ทำให้เห็นว่าเด็กไทยยังมีทางออกในเรื่องปัญหาการอ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ เพียงแต่เราหยิบตัวอย่างจากคนที่ดำเนินการเสร็จแล้วมาดูแล้วต่อยอดออกไป.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/221213/83700
ภาพจาก https://www.facebook.com/teachThaifree
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ