ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ​ใครเก่งกว่าใคร..ไอน์สไตน์ หรือ นิวตัน.?  (อ่าน 1323 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



​ใครเก่งกว่าใคร...ไอน์สไตน์ หรือ นิวตัน?
บทความโดย : สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุข ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
       
       เคยสงสัยหรือไม่ครับว่าเซอร์ไอแซก นิวตัน กับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ใครเก่งกว่ากัน?     
       ​หลายปีก่อน ตอนหัวค่ำ (18.30-20.15 น.) ของวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ราชสมาคมหรือ The Royal Society ของประเทศอังกฤษถึงกับจัดการอภิปรายเรื่องนี้
       
       ​ก่อนการอภิปรายมีการประกาศผลโพลซึ่งทำสองชุดแยกกัน ชุดแรกสอบถามจากประชาชนคนทั่วไป 1,300 คน อีกชุดสอบถามจากนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นสมาชิกของราชสมาคม 345 คน
       
       ​ผลปรากฏว่าคนทั่วไปให้นิวตันชนะแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์ (นิวตัน 50.1 เปอร์เซ็นต์ ต่อไอน์สไตน์ 49.9 เปอร์เซ็นต์) และนักวิทยาศาสตร์ให้นิวตันชนะขาดพอสมควรคือ 60.9 เปอร์เซ็นต์ ต่อไอน์สไตน์ที่ได้ 39.1 เปอร์เซ็นต์

       
        :49: :49: :49:

       ​การอภิปรายคงไม่ได้เอาชนะคะคานกัน เพียงแต่มีรายงานข่าวบอกว่าแต่ละฝ่ายยกเหตุผลอะไรขึ้นอภิปราย แต่สาระคือการแสดงความชื่นชมต่อความสำเร็จของทั้งคู่ซึ่งส่งผลกระทบแก่โลกเกินกว่าในห้องแล็บและสมการใดเคยทำมา
       
       ​ผู้อภิปรายฝ่ายถือหางนิวตันเสนอว่านิวตันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากยุคเชื่อผีสางโชคลางและลัทธิต่างๆ มาสู่วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยมีผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิวตัน “Principia Mathematica” (ผมชอบเรียกสั้น ๆ ว่า เดอะพรินซิเปีย) แสดงให้เห็นว่าความโน้มถ่วงเป็นแรงสากลที่ใช้ได้กับทุกวัตถุทั่วทั้งจักรวาล ไม่แยกว่าบนพื้นโลกอย่างหนึ่ง บนฟ้าอีกอย่างหนึ่ง
       
       ​ข้างฝ่ายสนับสนุนไอน์สไตน์ก็ชี้ว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพสามารถหักล้างหลักทฤษฎีของนิวตันเกี่ยวกับอวกาศและกาล นำไปสู่ทฤษฎีการกำเนิดของจักรวาล หลุมดำ และจักรวาลคู่ขนาน นอกจากนี้ยังพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ด้วยว่าอะตอมมีอยู่ แสงเป็นอนุภาคเรียกว่าโฟตอน รากฐานของลูกระเบิดนิวเคลียร์และพลังแสงอาทิตย์

       
        :88: :88: :88:

       ​การอภิปรายครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองทีมสำรวจของเซอร์อาร์เทอร์ เอดดิงตัน ที่เดินทางไปที่แอฟริกาและอเมริกาใต้ (เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1919) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถเห็นสุริยุคราสเต็มดวง เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของไอน์ไสตน์
       
       กล่าวคือขณะเกิดคราสตำแหน่งของดาวพุธอยู่ข้างหลังดวงอาทิตย์ แต่ภาพถ่ายคราสมองเห็นดาวพุธได้ ตรงกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ชี้ว่า แสงจากดาวพุธจะเดินทางเป็นเส้นโค้งอ้อมดวงอาทิตย์ได้และทำให้เห็นดาวพุธ
       
       ​ไอน์สไตน์เสนอผลงานถึง 5 เรื่อง ตั้งแต่ ค.ศ. 1905 โดยไม่มีคนสนใจ แต่ไอน์สไตน์กลับ “ดัง” เพียงข้ามคืนจากการพิสูจน์ของเซอร์เอ็ดดิงตัน และคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1921 

       ​เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา (พ.ศ. 2556) มีการประกาศผลรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ตกแก่ ปีเตอร์ ฮิกกส์ วันนั้นฮิกกส์ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบีบีซีตอนหนึ่งว่า ไม่อยากให้ยกย่องตนไปเทียบกับผู้ชนะรางวัลโนเบลอื่นๆ เพราะผลงานของเขาเทียบไม่ได้กับไอน์สไตน์ ที่มีผลงานยิ่งใหญ่กว่าหลาย “เท่าตัว” (ฮิกกส์ใช้ภาษาคณิตศาสตร์ว่า “อันดับของขนาด” หรือ “orders of magnitude”)


        :s_hi: :s_hi: :s_hi:

       ​แต่ผมเห็นว่าผลงานของไอน์สไตน์เกิดจากข้อได้เปรียบหลายประการ
       ​ประการแรกไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะจริง ๆ อีกประการคือเมื่อปี 1905 เขาทำงานในสำนักงานสิทธิบัตรของสวิส ซึ่งน่าจะทำให้ไอน์สไตน์ได้เห็นผลงานของคนอื่นที่ผ่านๆ มา และมีเวลาว่างมากที่จะจดจ่อกับผลงานเหล่านั้น
       
       ​ทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นเรื่องที่ต่อยอดจากผลงานก่อนหน้า ซึ่งไอน์สไตน์ก็บอกเองว่า ถ้าเขาไม่ประกาศทฤษฎีได้ก่อนในปีนั้น อีกไม่กี่ปีต่อมาคู่แข่งชาวฝรั่งเศสของเขาคือ ปอล ลองฌ์แวง ก็จะประกาศทฤษฎีนี้ได้แน่นอน โดยเฉพาะสมการมวล-พลังงานหรือ E = mc2 ก็เป็นสมการที่คนอื่นๆ อย่างน้อย 3 คน ได้คำนวณไว้ก่อน
       
       ​คนหนึ่งที่น่าเชื่อถือก็คือชาวออสเตรียชื่อ ฟริทซ์ ฮาสเซนเนิร์ล โดยมีหลักฐานว่าสมการของเขามีตัวเลขสัดส่วน 3/8 อยู่ข้างหน้า c2 และอีกปีต่อมาเขามัวมะงุมมะงาหราแก้ตัวเลขสัดส่วนจาก 3/8 เป็น 3/4 แล้วไอน์สไตน์ก็เป็นผู้ประกาศสมการนี้โดยตัดทิ้งตัวเลขสัดส่วนทิ้งไปเฉยๆ

       
        :sign0144: :sign0144: :sign0144:

       ​ผมอยากบอกว่าผลงานวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นการ “ต่อยอด” การคิดค้นของคนอื่นๆ แทบทั้งนั้น     
       ​นิวตันเองเขียนจดหมายลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1676 ถึงคู่แข่งของเขาคือ รอเบิร์ต ฮุก ทำนองว่า ผลงานของเขาเกิดจากการ “ยืนอยู่บนบ่าของยักษ์” ก็คือเขายอมรับเลยว่าได้ต่อยอดความคิดหรือผลงานของคนเก่งอื่นๆ
       
       ​กล่าวกันว่า แม้แต่ผลงานทางทฤษฎีเรื่องความโน้มถ่วงของนิวตัน ที่ต่อยอดมาจากผลงานของโคเปอร์นิคัส เคปเลอร์ กาลิเลโอ เดกา ก็ยังใช้พื้นฐานจากผลงานทางปฏิบัติของฮุกด้วย       
       ​ผมคงตัดสินไม่ได้ว่าใครเก่งว่าใคร คุณผู้อ่านลองพิจารณาแล้วกัน


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9570000007596
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ