ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปลงอายุสังขาร  (อ่าน 1102 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปลงอายุสังขาร
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2014, 07:17:59 pm »
0


ปลงอายุสังขาร
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้เมื่อนับทางจันทรคติเป็นวันขึ้น 15 ค่ำถือเป็นวันพระใหญ่และตรงกับวันครบรอบวันมาฆบูชาของ พ.ศ. 2557 บังเอิญปีนี้วันวาเลนไทน์ของฝรั่งที่เขานับทางสุริยคติก็ถือเป็นวันแห่งความรักแบบโรแมนติก คือ รักด้วยอารมณ์ โดยเรื่องของความรักนี่ท่าน น.ม.ส.ได้กล่าวไว้โดยละเอียดใน จดหมายจางวางหร่ำ ฉบับที่ 6 เขียนถึงนายสนธิ์ ผู้บุตร เมื่อได้ทราบว่าลูกชายคิดจะมีเมีย ใครสนใจก็หาอ่านเอาเองก็แล้วกัน ในที่นี้ขอคัดเอาแต่ความรักประเภทที่ 1 ซึ่งดูจะตรงกับคอนเซ็ปต์ของวันวาเลนไทน์ที่ผู้ใหญ่ไทยขี้อิจฉาเด็กเรียกว่า "วันเสียตัว"

"ความรักประเภทที่ 1 เป็นความรักอย่างเทวดา เกิดเพราะหมายศฤงคารซึ่งเล็งเอาเมถุนโดยเฉพาะ ถ้าจะพูดไม่อ้อมไม่ค้อม ความรักชนิดนี้คือความรักของหมาในเดือน 12 นั้นเอง ไม่เป็นของประจำใจยั่งยืนเป็นความประสงค์ชั่วแล่นเท่านั้น การตั้งชื่อความรักประเภทนี้ว่าเป็นความรักอย่างเทวดานั้นก็เพราะปรากฏว่าความรักในหมู่เทวดาเป็นไปเพื่อเมถุนล้วน เห็นได้จากข้อที่นางฟ้าเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสาวพรหมจารีอยู่เป็นนิจ แลเทพบุตรกับเทพธิดาเป็นผัวเมียกันมั่วๆ ไปไม่ประจำคู่ เพราะมีข้อที่นางฟ้าเป็นพรหมจารีอยู่เสมอนั้น เป็นเครื่องป้องกันความแก่งแย่งอยู่แล้ว


"ถ้าจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจเทวดา ความรักชนิดนี้ก็มิใช่อื่นคือศฤงคารอย่างหมานั่นเอง"

 :58: :58: :58:

แต่วันนี้จะพูดถึงวันมาฆบูชา ซึ่งจะขอพูดในแง่ที่ไม่ค่อยได้ยินกันมากนักคือเรื่องการปลงอายุสังขารหรือเรียกตามภาษาพระว่าปลงมายุสังขารก็ได้ ซึ่งสำหรับพระพุทธองค์มีขึ้นในวันมาฆบูชา ณ กูฏคารศาลา ป่ามหาวัน เมื่อมีพระชนมายุได้ 80 พระชันษา ซึ่งขณะนั้น ทรงได้ตรัสรู้แล้วเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนมานานถึง 45 ปีแล้วจึงได้ทรงตั้งพระทัยว่า "นับแต่นี้ต่อไปอีกสามเดือน ตถาคตจักดับขันธปรินิพพาน" การปลงอายุสังขารจึงมีความหมายในภาษาสามัญว่า การกำหนดวันตายไว้ล่วงหน้านั่นเอง

ก่อนหน้านั้นที่บ้านเวฬุคาม เขตเมืองไพศาลี ทรงพระประชวรหนักแต่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะมั่นคงทรงอดกลั้นในทุกขเวทนาด้วยความอดทน ทรงเห็นว่ายังมิควรที่จะปรินิพพานในเวลานี้ จึงบำบัดขับไล่โรคภัยให้สงบระงับด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนา หลังจากนั้นจึงได้ปรารภเรื่อง ชราธรรมประจำพระกายกับพระอานนท์ว่า


 ans1 ans1 ans1

"บัดนี้ตถาคตชราภาพ ล่วงกาลผ่านวัยจนชนมายุล่วงเข้า 80 ปีแล้ว กายของตถาคตทรุดโทรมเสมือนเกวียนชำรุดที่ต้องซ่อม ต้องมัดกระหนาบให้อยู่ด้วยไม้ไผ่อันมิใช่ สัมภาระแห่งเกวียนนั้น เมื่อใดตถาคตเข้าอนิมิตตเจโตสมาธิ ตั้งจิตสงบมั่น คือ ไม่ให้มีนิมิตใดๆ เพราะไม่ทำนิมิตทั้งหลายไว้ในใจ ดับเวทนาบางเหล่าเสีย และหยุดยั้งอยู่ด้วยอนิมิตตสมาธิ เมื่อนั้นกายของตถาคตย่อมผ่องใส มีความผาสุกสบาย เพราะธรรมคืออนิมิตตสมาธิ มีอานุภาพสามารถทำให้ร่างกายของผู้ที่เข้าถึง และหยุดอยู่ด้วยสมาธินั้นมีความผาสุก ฉะนั้นจงมีตนเป็นเกราะมีธรรมเป็นที่พึ่งทุกอิริยาบถเถิด

  "บุคคล รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตน ควรรีบทำสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้ มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างบุคคลผู้โง่เขลา หลีกออกจากธรรมะ ไม่ประพฤติตามธรรมะ จวนจะใกล้ตายก็ต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียนที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น"


 :25: :25: :25:

ความจริงวันมาฆบูชานี้ในเนื้อหาสาระที่เป็นแก่นสารจริงๆ น่าจะอยู่ที่การปลงอายุสังขารนี่เองที่สืบเนื่องจากการปรารภเรื่องชราธรรมของพระพุทธองค์ที่บ้านเวฬุคาม เขตเมืองไพศาลีก่อนหน้านี้ ดังนั้นในวันมาฆบูชาที่จะถึงนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะไปบูชาพระพุทธรูปปางพิจารณาชราธรรมที่เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองวางคว่ำอยู่บนเข่าทั้งสองข้าง

ส่วนพระพุทธรูปปางปลงอายุสังขารนั้นเป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถประทับนั่งขัดสมาธิมือซ้ายวางบนเข่า (บางแบบ) วางหงายบนตัก มือขวายกขึ้นทาบที่อก เป็นอาการลูบพระวรกาย ซึ่งพระพุทธรูปทั้ง 2 ปางนี้ว่าไปแล้วหายากจริงๆ นัยว่าคนไทยไม่นิยม เท่าที่ทราบก็มีที่วัดพระปฐมเจดีย์ หากท่านผู้ใดทราบว่ามีที่ไหนอีกกรุณาเผื่อแผ่บอกผู้เขียนด้วยเพราะต้องหาที่ไปบูชาเผื่อไว้เนื่องจากอาจจะมีม็อบปิดทางที่ใดที่หนึ่งก็จะได้มีที่ไปบำเพ็ญบุญกิริยาในอีกที่หนึ่งได้บ้าง


 st12 st12 st12

ครับ ! ระหว่างไหว้พระวันมาฆบูชาก็ควรระลึกถึงพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานควบคู่กันไปด้วย คือ

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน

นี่เป็นข้อยืนยันว่าความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโตแต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตน มีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อน กระวนกระวาย"


ที่มา:มติชนรายวัน 12 กุมภาพันธ์ 2557
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1392263030&grpid=&catid=02&subcatid=0207
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ