ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ฆ่าคนชั่วไม่บาป.?  (อ่าน 1133 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29345
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ฆ่าคนชั่วไม่บาป.?
« เมื่อ: มีนาคม 12, 2014, 08:27:34 pm »
0


ฆ่าคนชั่วไม่บาป.?
คอลัมน์ ธรรมนัว โดย วิจักขณ์ พานิช

เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีวัยรุ่นหญิงคนหนึ่งถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เธอนัดเจอกับชายวัย 42 ปีผ่านทาง Craigslist (เว็บไซต์ขายของแบบจำแนกตามเมืองต่างๆ) โดยเธอเสนอตัวมีเซ็กซ์กับเขาเพื่อแลกกับเงินหนึ่งร้อยเหรียญ ก่อนจะลงมือ เธอถามเขาว่า ฉันอายุแค่ 16 ปีเท่านั้นนะ เธอยังจะนอนกับฉันไหมŽ

...เมื่อยังคงยืนยันความตั้งใจเดิม สาวน้อยและสามีของเธอจึงลงมือฆ่าชายคนนั้น โดยใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกเป็นสิบๆ ครั้ง

เธอให้การกับตำรวจด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่าเคยทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว โดยทุกครั้งเธอกับสามีจะลงมือด้วยกัน "ฉันจดจำได้ทุกรายละเอียด"Ž เธอกล่าวอย่างภาคภูมิใจ แล้วเล่าถึงวิธีการฆ่าให้ตำรวจฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดปัง

ตอนแรกฉันก็ว่าจะปล่อยตัวเขาไป แต่เพราะคำตอบของเขาผิด ฉันจึงจำเป็นต้องกำจัดเขาซะŽ


 :32: :32: :32:

เจ้าหน้าที่สืบสวนอธิบายเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ว่าเป็นกิจกรรมในนามของ "Satanic Cult"Ž หรือ "ลัทธิซาตาน" หากจะลองให้ความหมายของ ลัทธิซาตานŽ คงพอสรุปสั้นๆ ได้ประมาณว่า "ฆ่าคนชั่วไม่บาป"Ž นั่นล่ะครับ ในศาสนาคริสต์ คำว่า "ซาตาน"Ž ถูกให้ภาพในฐานะปีศาจร้ายที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพระผู้เป็นเจ้า แต่ในความเป็นจริง ผมว่าความน่ากลัวของลัทธิซาตานน่าจะอยู่ที่การกระทำโดยอ้างความดีงามในนามของพระผู้เป็นเจ้ามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น "ฆ่าเพื่อความดีŽ" "กำจัดคนที่ชั่วยิ่งกว่า"Ž หรือ "ฆ่าเพื่อความสงบสุข"Ž ก็ตาม เมื่อใดที่ได้ความดีสูงสุดมาเป็นแบ๊กอัพ การฆ่าก็สามารถดำเนินไปได้อย่างเย็นเยียบ

ย้อนมองดูในบ้านเรา การฆ่าในลักษณะใดบ้างที่ถือเป็น "ข้อยกเว้น"Ž ไม่เป็นบาป? การฆ่าแบบใดบ้างที่ควรนำมาซึ่งความภาคภูมิใจ ความสะใจ และความสบายใจ? สร้างข้อยกเว้นของหัวใจอันแปรสภาพเป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจร้ายแห่งความคลั่ง ความรุนแรง และความเพิกเฉยเย็นชา การฆ่าแบบใดที่ควรได้ชื่อว่าเป็นการฆ่าเพื่อความถูกต้องทางการเมืองและฆ่าเพื่อศีลธรรมอันดีของเด็กและเยาวชน

 :03: :03: :03:

พอนึกถึงอารมณ์ฆ่าคนชั่วไม่บาป ทำให้ผมนึกถึงใบอนุญาติใช้ความรุนแรง หรือ "ใบอนุญาตฆ่า"Ž -อย่างหนึ่งของสังคมไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะว่าไป การฆ่าเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์Ž ในบ้านเรา ก็น่าจะเรียกว่าเป็น Satanic Cult ได้เหมือนกันนะครับ ภาพนักศึกษาที่ถูกแขวนคอใต้ต้นมะขาม บ้างถูกกระหน่ำซ้ำด้วยเก้าอี้และท่อนไม้ บ้างถูกคล้องคอด้วยเชือกแล้วเอารองเท้ายัดปาก ลากร่างไร้ลมหายใจประจานไปทั่วสนามหลวง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมตัวเป็นไทยมุงยืนหัวเราะ ปรบมือ ส่งเสียงเชียร์ชื่นชม...

เรารู้สึกเฉยๆ กับเขตการใช้กระสุนจริงและการถูกยิงโดยสไนเปอร์เข้าที่กลางหัวของคนเสื้อแดง ภาคภูมิใจกับการใส่เสื้อยืด "มือปืนป๊อปคอร์นŽ" ...คนจำนวนไม่น้อยยังยินยอมพร้อมใจกับการทำรัฐประหาร เรียกร้องให้กองทัพออกมาจัดการบ้านเมืองให้สงบราบคาบด้วยกระบอกปืนและรถถัง

...หากคนจำนวนหนึ่งต้องตายไปบ้างเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น สงบสุขขึ้น มันก็เป็นเรื่องจำเป็นและเลี่ยงไม่ได้อะไรทำนองนั้น และด้วยความคิดแบบนี้นี่เอง ที่แม้ประเทศไทยจะล่วงเลยเข้าสู่โลกศตวรรษที่ 21 เข้าไปแล้ว เราก็ยังคงเห็นการฆ่าเพื่อชาติเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาเหมือนการฆ่าปลาใส่บาตรพระ


 :91: :91: :91:

ที่น่าสนใจที่สุดคือ คนจำนวนไม่น้อย (ซึ่งมักเรียกตัวเองว่าผู้มีการศึกษา) ยังเชื่ออีกด้วยว่า "การฆ่าความคิด"Ž เป็นเรื่องที่ควรทำและกระทำได้ โดยปกติหากคิดผิด คุณอาจได้รับโอกาสให้คิดใหม่ แต่ในบางคำถาม หาก "ตอบผิด"Ž นั่นหมายถึงปล่อยไว้ไม่ได้ จำเป็นต้องฆ่า คำถามจำพวก  เป็นคนไทยหรือเปล่า?Ž "นับถือศาสนาอะไร?Ž"  "รักในหลวงหรือไม่รัก?"Ž ยังคงถูกมองว่าเป็นคำถามที่ดีและเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีที่ต้องถาม

ทุกวันนี้เรายังต้องพยายามหาคำอธิบายอันไม่เป็นวิชาการเวลาถูกเพื่อนถามว่า "แกเป็นเสื้อแดงเหรอ?"Ž  "คิดแบบนี้แกเป็นพวกล้มเจ้ารึเปล่า?"Ž เพราะถ้าตอบไม่ดีหรือมีแนวโน้มเป็นวิชาการมากเกินไป แล้วมันเกิดกลายเป็นคำตอบที่ "ผิดใจ"Ž หรือ "ผิดในความรู้สึก"Ž เราก็อาจมีชะตากรรมเหมือนนักโทษทางความคิดในบ้านนี้เมืองนี้ที่ต่างได้รับข้อยกเว้นทางศีลธรรมและมนุษยธรรมจากเพื่อนร่วมชาติกันโดยถ้วนหน้า

 :41: :41: :41:

การกระทำถูกเป็นผิดและผิดเป็นถูกในสังคมไทยเลยกลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตรกันไปหมดครับ แม้จะไม่ได้ไปละเมิดสิทธิใคร ไม่ได้ไปก่ออาชญากรรม ลักขโมย ทำร้าย หรือฆ่าแกงใครที่ไหน แต่ถ้า "คิดผิด"Ž เมื่อไร นั่นคือเรื่องคอขาดบาดตายที่ปล่อยไว้ไม่ได้ ศีลห้าไม่หลงเหลือความสำคัญอะไรหากเจอใครผิดศีลข้อห้ามสูงสุด นั่นคือ "ศีลห้ามคิดŽ" เราอยู่ในสังคมที่ทหารพร้อมจะออกมา "ฮึ่ม"Ž ใส่อาจารย์มหาวิทยาลัย "ไล่"Ž คนที่คิดต่างออกนอกประเทศ และพร้อม "ลุยŽ" กับใครก็ตามที่เสนอทางออกจากสงครามการเมืองที่ผิดไปจากแนวคิดความมั่นคงแบบกองทัพ

แต่ละเรื่องที่ออกมา ฮึ่ม ไล่ หรือลุย แม้จะดูตลกและไร้สาระเพียงใด ความบ้าคลั่งก็ยังถือว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใยชาติบ้านเมืองในทางที่ถูกที่ควร จนมันได้กลายเป็นมาตรฐานความดีงามที่เยาวชนผู้จงรักภักดีควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล การข่มขู่ด้วยวาจา การใช้กำลังและความรุนแรงแก้ไขปัญหา หรือการไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย เป็นต้น

 ans1 ans1 ans1

วาทกรรม "ฆ่าคนชั่วไม่บาป"Ž นอกจากจะมีผลต่อการส่งเสริมความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยให้ฝังรากลึกยิ่งๆ ขึ้นแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบ่มเพาะความเห็นใจเพื่อนมนุษย์ให้เติบโตงอกงามในจิตใจผู้คนอีกด้วยครับ ด้วยความที่เราเอาแต่ปลูกฝังให้มองคนเป็นคนดีหรือคนชั่ว แทนที่จะมองคนเป็นคนเท่าๆ กัน เราจึงเห็นคนบางพวกไม่เป็นคนเหมือนเรา และความไม่เหมือนเรายังไม่มีค่าควรแก่การเห็นใจและเคารพเสียด้วย

แม้จะเป็นเมืองพุทธที่มีศีลข้อแรกคือการไม่ฆ่า แต่ประเด็นทางสังคมอย่างการยกเลิกโทษประหารชีวิต หรือสิทธิของผู้ต้องขังในเรือนจำก็ยังไม่เคยเป็นเรื่องสำคัญที่สังคมไทยจำเป็นต้องตระหนักถึง มันเป็นอะไรที่ไกลตัวเราเพราะเราเป็นคนดีที่ห่างไกลความชั่ว เราไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องยกเลิกการลงโทษด้วยการฆ่า ทำไมต้องยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 การที่คนชั่วได้รับผลกรรมที่ตนเองทำไปก็ถูกต้องดีงามแล้วไม่ใช่หรือ? เราไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องปรับปรุงคุกให้มีสภาพดีขึ้น ทำไมจึงต้องเสียเวลาและงบประมาณไปกับคนที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคมพวกนั้นด้วย

 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เมื่อจินตนาการถูกกรอบกั้นไว้แบบนี้ ดีชั่วก็ห่างไกลกันและแตกหักกันยิ่งขึ้นทุกที่จนเริ่มสับสนว่าอะไรดีอะไรชั่ว สุดท้ายทางเลือกก็เหลืออยู่แค่สองทางอีกตามเคย นั่นคือ "ฆ่า"Ž หรือไม่ก็ "อย่าคิด"Ž ความดีต้องเอาชนะความชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย และธรรมะจะชนะอธรรมโดยไม่มีคำถาม ทวิลักษณ์ดี-ชั่วแบบนี้เองที่กำลังแบ่งแยกประเทศเป็นสอง ศาสนธรรมแบบนี้เองที่กำลังกลายเป็นสำนึกที่ขับเคลื่อนความรุนแรง เกาะกินหัวใจที่เต็มไปด้วยข้อยกเว้น และแผ่ขยายอำนาจความรักที่เต็มไปด้วยกำแพงและข้อจำกัด

แล้วเราจะหลุดออกจากสังคมสงคราม ความบ้าคลั่ง ความเกลียดชัง และความไม่รู้ไม่ชี้ เช่นนี้ไปได้อย่างไร?

สิ่งที่สังคมไทยควรตระหนักก่อนเป็นอย่างแรกก็คือ ความคิดนั้นกักขังไม่ได้ ความคิดนั้นฆ่าให้ตายไม่ได้ เสรีภาพทางความคิดเป็นศีลข้อสำคัญต่อการสร้างรากฐานสัมปชัญญะทางสังคมที่แผ่กว้าง เมื่อปราศจากนักโทษและผู้ต้องหาทางความคิดแล้ว จิตใจที่มีมนุษยธรรมไปพ้นจากดีๆ ชั่วๆ นี้เองที่จะพื้นฐานของ สังคมแห่งการไม่ฆ่าŽ โดยไม่มีข้อยกเว้น ‚เมื่อนั้นเราคงเริ่มเรียนรู้ที่จะเคารพกัน และเปิดหัวใจต่อกันและกันได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น


ที่มา:มติชนรายวัน 9 มีนาคม 2557
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1394539251&grpid=&catid=02&subcatid=0207
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ