ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'วิสาขบูชา' กับการตื่นรู้ของปุถุชน.?  (อ่าน 1156 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'วิสาขบูชา' กับการตื่นรู้ของปุถุชน.?
« เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2014, 12:21:56 pm »
0


'วิสาขบูชา' กับการตื่นรู้ของปุถุชน.?
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง สุกล เกิดในมงคล ภาพ

กว่า ๒๖๐๐ ปีที่ล่วงผ่านจนถึงวันนี้  วิสาขปุรณมีบูชา วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธเราควรระลึกถึงพระองค์อย่างไร ให้สมกับที่พระองค์ทรงอุทิศชีวิตจนกระทั่งค้นพบทางออกไปจากกรงขังของมนุษยชาติที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ใดๆ ค้นพบนวัตกรรมทางจิต อันสามารถนำชาวโลกไปสู่สันติสุขในภพนี้ และมีความปลอดภัยในภายภาคหน้าจากสังสารวัฏได้

พระพุทธเจ้าคือหนึ่งเดียว ผู้ปฏิวัติดวงจิตให้มีทางออกไปจากภพชาติอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเมตตามอบแผนที่นำทางไว้ให้มนุษย์ก้าวไปด้วยตนเองให้ตรงทางด้วยพระธรรม และการชี้แนะจากพระอรหันต์ พระอริยสาวกที่ดวงตาเห็นธรรม จากวันนั้นจนถึงวันนี้อย่างไม่ขาดสาย

'คม ชัด ลึก วันพระ' ขอน้อมถวายสักการะพระพุทธองค์ด้วยการเชิญชวนศาสนิกชนปฏิบัติบูชาในวันสำคัญนี้ไปด้วยกัน โดยได้รับความเมตตาจาก หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี ให้สัมภาษณ์ในประเด็นว่า การตื่นรู้ขอปุถุชน เป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร เพื่อเป็นกำลังใจในการภาวนาให้ตรงทางเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์สถานเดียว


 ans1 ans1 ans1

หลวงพ่ออินทร์ถวายเมตตาชี้แนะการภาวนาดังนี้

"ในคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเองก็เน้นหนักในปฏิปทาคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่เราพูดยกยอหลวงปู่มั่น ไม่ใช่เรางมงายหรือลุ่มหลงหลวงปู่มั่น แต่เหมือนกับเราเรียนกฎหมาย เราจะไปอธิบายเรื่องบัญชีได้อย่างไร อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเราศึกษากับสายหลวงปู่มั่น เราก็สันทัดในแนวปฏิปทาของหลวงปู่มั่น คือต้นตระกูลของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่หล้า หลวงปู่จาม หลวงตามหาบัว ท่านสอนอย่างไร ท่านคือ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เพราะฉะนั้นเราจะไปสอนตามสายสาขาอื่นมันไม่ได้ เราไม่ใช่คับแคบ แต่เรารู้ในสายไหน เราก็สอนในสายนั้น สันทัดในสายนั้น

"ถ้าเราจะเปรียบเทียบว่าหลวงปู่มั่น ท่านสอนแปลกแหวกแนวไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม ก็ไม่ เข้ากันได้ เพราะเหตุไร เราเปรียบเทียบว่า เจ้าชายสิทธัตถะหนีออกจากเวียงวัง ทรงผนวช ๖ ปี ที่แม่น้ำอโนมา ในหกปีนั้นท่านทำอะไร ในพุทธประวัติ ท่านทำทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ดาบสสองท่านสอนแต่เรื่องสมาธิ ทำจิตใจให้สงบจนเกิดฌาณ แต่พระองค์ยังไม่พอใจ กลับมาอยู่ตามลำพัง ศึกษาด้วยพระองค์เอง
 
 :25: :25: :25:

กระทั่งวันเพ็ญ เดือน ๖ นายโสตถิยะหาบหญ้าคาผ่านมาเห็นเจ้าชายสิทธัตถะนั่งอยู่ตามลำพัง หลวงพ่อเล่าจนเห็นภาพ ทำให้ย้อนระลึกราวกับว่า การตรัสรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

"วันนั้น นายโสตถิยะก็เลยนำหญ้าคาถวายพระองค์ ๘ ฟ่อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้หญ้าคา ๘ ฟ่อนแล้วก็หาที่นั่ง เกลี่ยหญ้าคาลงทางทิศตะวันออกของต้นโพธิ์ จากนั้นก็คงสลับหัวสลับท้ายให้เป็นอาสนะ แล้วหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ในช่วงนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดง ขณะนั้นพระองค์ก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ ให้มือขวาทับมือซ้าย ทำกายให้ตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า กำหนดลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก มีสติสัมปชัญญะในลมหายใจเข้า และลมหายใจออก จากนั้นพระหฤทัย ใจของพระองค์สงบรวมลงเป็นสมาธิ เกิดฌาณ เกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ เห็นว่าตายแล้วไม่สูญ ตามหลักพระพุทธศาสนาที่ว่าตายแล้วเกิด


 st11 st11 st11

"พระองค์ระลึกชาติแต่หนหลังเห็นว่า ข้ามาจากไหน วิญญาณของข้ามาจากไหน ท่านก็รู้ว่ามาจากชั้นสวรรค์ดุสิตลงมาเกิดเป็นสิทธัตถะ ก่อนหน้านี้เป็นพระเวสสันดร แล้วท่านก็ไล่ภพชาติของท่าน พอถึงเที่ยงคืนก็บรรลุ 'จุตูปปาตญาณ' เห็นการจุติของสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า แต่ละคนเกิดมาจากที่ไหน มาอย่างไร ทำไมไม่เหมือนกัน คนนี้ทำไมโง่ คนนี้ทำไมฉลาด มีสติปัญญาเฉียบแหลม ทำไมคนนี้นิสัยดี ทำไมคนนี้นิสัยโกง พระองค์ทรงเห็นว่า เป็นมาเพราะกรรม แต่ละคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม ผู้ใดทำกรรมใดไว้ กรรมนั้นตามสนอง"

แล้วการที่ผู้คนได้ภพชาติอย่างในปัจุบันนี้ มีที่มาตามกรรมอย่างไร หลวงพ่ออธิบายตามหลักธรรมว่า เช่น คนที่โง่ ชาติที่แล้วเขาชอบของมึนเมา ผู้ที่อายุสั้น ชาติที่แล้วเขาชอบฆ่าสัตว์ อย่างนี้เป็นต้น

"เมื่อใกล้สว่าง เจ้าชายสิทธัตถะก็ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยมีสัมมาทิฐิเป็นเบื้องต้น และสัมมาสมาธิเป็นลำดับสุดท้าย กระทั่งพระหฤทัยของพระองค์หมดจดจากกิเลส ราคะ โทสะ และ โมหะ ในคืนนั้น"
 
 :96: :96: :96:

หลวงพ่ออินทร์ถวายกล่าวต่อมาว่า สังขารต่อให้เราเลี้ยงมันดีแค่ไหน สักวันก็เห็นผมขาว เดี๋ยวก็เห็นฟันหลุด เดี๋ยวก็เห็นหนังเหี่ยว ผลที่สุดก็เห็นตัวเองตาย นี่คือร่างกาย จบแค่นั้น แต่ใจ คือ โชเฟอร์ ต้องออกจากรถ ต้องออกจากร่างกาย ถ้าโชเฟอร์ออกจากร่างโดยไม่มีทุน โชเฟอร์นั้นจะจน ถ้าโชเฟอร์นั้นสั่งสมบุญกุศล โชเฟอร์นั้นจะได้กุศลเข้าสู่จิตใจ ออกจากรถคันเก่าก็ไปเลือกเอารถคันใหม่ได้

"อย่างที่คุณแม่แก้ว เสียงล้ำ ท่านกล่าวว่า ที่เราลงมาเกิดกับตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิ เพราะชาตินี้ไม่ได้มุ่งหวังอะไร ก็เลยเกิดมาบวช ถ้าเป็นลูกเศรษฐี ลูกชายคนเดียว เขาก็คงไม่ให้บวช เลยมาเกิดบ้านที่มีลูกพ่อลูกแม่หลายๆ คน อยู่บ้านนอกอีกต่างหาก ก็คงเป็นลักษณะนั้น ดังนั้นเราเลือกเกิดได้ ถ้าเรามีบุญ

 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

"หลวงปู่มั่นท่านก็สอนให้พิจารณา สมถะ คือการทำจิตใจให้สงบ ทำจิตให้เป็นหนึ่งแล้ว ก็พิจารณาร่างกาย พิจารณาอะไรเล่าในร่างกาย คนมันหลงอะไร ใจของเรา โชเฟอร์มันหลงอะไร มันหลงรถ ที่ตัวเองเคยใช้รถหรูๆ มันหลง ว่านี่คือรถของเราแท้ๆ แต่จริงๆ ไม่ใช่ พอวันหนึ่งมันหมดสภาพ แน่ใจหรือ อย่าหลงตัวเองนะ ถ้ามันไม่หลงร่างกาย จะไม่หลงอย่างอื่นเลย ทุกวันนี้ที่มันหลง ที่มันวุ่นวายอยู่ก็เพราะหลงร่างกายตัวเองทั้งนั้นว่าตัวเองจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หลงที่เขายกย่องสรรเสริญ เมื่อหลงตัวเอง เลยหลงทุกอย่าง หลงสามี ภรรยา หลงลูก หลงทรัพย์สมบัติ หลงไปหมดทุกอย่าง

"ให้ใจ บอกตัวเองว่า อย่าไปหลงนะ สักวันแกจะต้องทิ้งทั้งหมด กระดูกของแกก็ต้องทิ้งหมด สิ่งเหล่านั้น อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา ใจนั้นก็ต้องทิ้งนะ วางนะ ใจ ขนาดร่างกาย ยังไม่ใช่ของเรา อย่างอื่นจะเป็นของเราได้อย่างไร ให้โชเฟอร์ถามโชเฟอร์ ให้ใจถามใจ เมื่อใจถามใจจะไม่หลง ไม่ลืมตัว อันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ อันไหนเหมาะสม อันไหนไม่เหมาะสม อันไหนถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้อง โชเฟอร์ต้องพิจารณาตนเอง เมื่อโชเฟอร์ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นกระทั่งตัวเองอีก นั่นแหละ มรรคผล นิพพานอยู่ที่นั่น อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ
ใช่หรือเปล่า ?"

หลวงพ่ออินทร์ถวายให้เรากลับมาถามใจเราเอง 


 ask1 ask1 ans1 ans1

'พุทโธ'อย่างไรให้พ้นทุกข์

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก แนะการภาวนาตามรอยพระพุทธเจ้า โดยผ่านพระอริยสาวกที่เดินตามรอยพระพุทธองค์ ดังเช่น หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นอาจารย์ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า ท่านทั้งสองสอนให้นั่งสมาธิ ก่อนที่จะนั่งสมาธิ ต้องกราบพระเสียก่อน กราบที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีพระพุทธรูป ให้พระพุทธรูปอยู่ในใจของเรา น้อมระลึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ

"ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปถึงพุทธคยาเสียก่อนจึงจะพบพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ เราน้อมถึงพุทธคยา น้อมถึงพระพุทธเจ้าได้ในใจของเรา แล้วสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ สามจบแล้วแผ่เมตตาเป็นภาษาใจ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นสุข ผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไร ผู้อื่น สัตว์อื่น วิญญาณอื่น ทั่วไตรโลกธาตุ ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนา ทุกๆ ดวงใจ ทุกๆวิญญาณด้วยเทอญ "

 :25: :25: :25:

หลวงพ่อแนะอีกว่า เราแผ่เมตตาเพื่อไม่ให้เป็นพิษเป็นภัย ไม่ต้องจองเวรจองกรรมกับผู้ใดใครทั้งหมด

"เพราะต่างคนก็ต่างมีกรรมของใครของมันมาเกิด เราจะไปผูกพยาบาทอาฆาตกับใคร จากนั้นก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แถมท้ายด้วย 'นิพพานัง' ด้วยนะ กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เพื่อหวังพระนิพพาน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย แล้วประนมมือเสียก่อน คือไหว้ครูเสียก่อน ไหว้พระพุทธเจ้า ที่เรานั่งภาวนา ไม่ใช่คนอื่นสอนนะ พระพุทธเจ้าประทานให้ พุทโธ ธัมโม คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สังโฆคือพระสงฆ์สาวกที่นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกกล่าวให้เราปฏิบัติ พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามจบ แล้วก็แผ่เมตตาอีกก็ได้ ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง แล้วก็อยู่กับคำบริกรรม พุทโธ หายใจเข้า 'พุท' หายใจออก 'โธ' ทุกครั้งในการนั่งสมาธิ

"หลวงปู่มั่นบอกว่า ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้า-ออก ธรรมดา มันหลุดได้ง่าย ให้เอาพุทโธเข้าไปด้วย หายใจเข้า 'พุท' หายใจออก 'โธ' ให้สติ จับอยู่ที่ปลายจมูก เหมือนเรายืนอยู่ข้างประตู เวลาลมออกไปก็อย่าตามลมออกไป เวลาลมเข้ามาก็อย่าตามลมเข้าไป เพียงแต่ให้รู้ว่า ลมเข้า ลมออก ให้มีสติอยู่ที่ปลายจมูก นี่คือ กรรมฐาน


 st12 st12 st12

"เมื่อเรากำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกไปเรื่อยๆ จะพบกับสมาธิ (มี ๓ ขั้น คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ) จนกระทั่งสติเป็นอันไหน จิตเป็นอันนั้น นั่นแหละ ให้เราเข้าใจว่า เหมือนการขับรถ กายคือรถ ใจคือคนขับรถ ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ความสำคัญกับใจ เรื่องทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยใจ โชเฟอร์เป็นใหญ่ โชเฟอร์เป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยโชเฟอร์"

นี่คือกุศโลบายการภาวนาในชีวิตประจำวันที่ทำได้จริง อาจแบ่งเวลาเช้าตื่นนอน และค่ำก่อนเข้านอน สักครึ่งชั่วโมง-หนึ่งชั่วโมงให้กับตัวเองบ้าง แม้ว่าต้องอยู่กับงานมากมายก่ายกองก็ตาม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ การภาวนาพุทโธก็สามารถทำได้ในทุกที่ ทุกเวลาไม่มีข้อแม้ อยู่ที่ว่าเราเริ่มหรือยัง ?


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140513/184522.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ