ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘สังสารวัฏ’ วงจรแห่งทุกข์ รู้หลักปฏิบัติหลุดพ้นได้  (อ่าน 4076 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


‘สังสารวัฏ’ วงจรแห่งทุกข์ รู้หลักปฏิบัติหลุดพ้นได้

“การเวียนว่ายตายเกิด” หรือ “วงจรของสังสารวัฏ” นั้นอยู่ในวัฏสงสารเป็นความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ซึ่งเรามักจะได้ยินพระพุทธองค์เปล่งอุทานว่า ’การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ทั้งนั้น“ ดังนั้นพระองค์จึงทรงสอนวิชาดับทุกข์ที่พระองค์ค้นพบให้แก่ชาวโลก โดยทรงสอนให้ปฏิบัติสู่นิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไม่เกิดก็ไม่ทุกข์

โดยก่อนที่มนุษย์ทั้งหลายจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ พอตายไปก็กลับมาเกิดเป็นคนได้ง่าย ๆ แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาทางกาย วาจา ใจ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “กรรม” จะมีผลสะท้อนกลับมากำหนดวิถีชีวิตของเราในปัจจุบันและอนาคตโดยตรง ในเมื่อทุกชีวิตล้วนดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กรรมเก่า กรรมใหม่ และกรรมในอนาคต ล้วนแล้วแต่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้นเองทั้งนั้น

ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตให้ดีที่สุด เพราะทุกอย่างที่เรากระทำด้วยความตั้งใจทางกาย วาจา และใจ ถึงจะเกิดจากกรรมก็จริงอยู่แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะใช้กรรมเก่าเพียงอย่างเดียว ส่วนหนึ่งเรากำลังใช้ชีวิตเพื่อสร้างกรรมใหม่ในปัจจุบันด้วย ซึ่งผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นหลักสำคัญต้องมี “มนุษยธรรม” หรือธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ นั่นคือ การรักษาเบญจศีล (ศีล 5) และเบญจธรรมหรือข้อพึงปฏิบัติ 5 ประการ

 :96: :96: :96:

เรื่องกรรมของมนุษย์มีหลายคนสงสัยว่าเกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ทำไมไม่เหมือนกัน บางคนดี บางคนบ้า บางคนสูง บางคนต่ำ บางคนรวย บางคนจน ฯลฯ เป็นเพราะการทำกรรมของมนุษย์ทั้งหลายที่เคยกระทำไว้นั่นเอง จึงมีกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักเลือกทำแต่กรรมดีเพื่อสร้างชีวิตที่ดีและสามารถเลือกภพที่ตนปรารถนาได้ด้วยในอนาคต และหากเราจะเลือกเกิดในภพไหนต้องรู้เสียก่อนว่าภพที่จะไปเกิดมีกี่ภพ

ภพที่คนเราจะไปเกิดมี 5 ภพ หรือ 2 คติ คือ 1. ทุคติ ได้แก่ นรก เดรัจฉาน เปรต (รวมอสุรกาย) 2. สุคติ ได้แก่ มนุษย์ เทวดา (รวมพรหม) เราจึงมักได้ยินผู้ที่ไปร่วมงานศพอธิษฐานว่า “ขอให้ … (ระบุชื่อคนตาย) ไปสู่สุคติเถิด” คือ หมายความว่าขอให้เขาไปเกิดเป็นเทวดาหรือไม่ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั่นเอง

แต่การที่เราอยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข 10 ประการที่เรียกว่า “กุศลกรรมบถ10” ได้แก่ เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เว้นจากการลักขโมย เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่โลภอยากได้สิ่งของของผู้อื่น ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่นและมีความเห็นชอบถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เช่น รู้ดี รู้ชั่ว เชื่อผลแห่งกรรม เชื่อในคุณบิดา มารดา



นอกจากนี้บนสวรรค์ที่ใคร ๆ อยากไปเกิดนั้นแบ่งเป็น 6 ชั้น ได้แก่ จาตุมหาราชิกาเทวภูมิ คอยสอดส่องมนุษย์ที่ประกอบผลบุญ แล้วรายงานต่อพระอินทร์ ดาวดึงส์เทวภูมิ มีสถานที่สำคัญที่สุดคือ พระเกศจุฬามณีเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระเกศโมลีและพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยามาเทวภูมิ สวรรค์ชั้นนี้สูงกว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์ ทำให้มีแสงสว่างส่องไปทั่วทิศ ดุสิตาเทวภูมิ เป็นที่สถิตของพระศรีอาริย์และพระสิริมหามายาเทพบุตร (พระพุทธมารดา) นิมมานนรดีเทวภูมิ เทพยดาในสวรรค์ชั้นนี้

จะมีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าสวรรค์ทั้ง 4 ที่ผ่านมา ต้องการสิ่งใดเนรมิตได้ดั่งใจ และปรนิมมิตวสวัตดีเทวภูมิ เทพยดาชั้นนี้หากต้องการสิ่งใด เทพยดาอื่นจะรู้แล้วเนรมิตให้แตกต่างจาก นรก หรือนิรยภูมิ จัดอยู่ในดินแดนที่ปราศจากความสบาย เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ซึ่งนรกมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล แบ่งเป็น 8 ขุมใหญ่ เรียกว่า มหานรก มีขุมบริวาร 128 ขุม เรียกว่า อุสสทนรก ขุมนรกย่อยเรียกว่ายมโลก 320 ขุม และโลกันตนรกอีก 1 ขุม รวม 457 ขุม สัตว์ที่ใช้กรรมในมหานรกหมดแล้วจะต้องไปรับกรรมในอุสสทนรกและยมโลกต่อไปจนกว่าจะหมดกรรมที่ตนกระทำไว้


 :25: :25: :25:

สุดท้ายหากใครที่ไม่อยากติดอยู่ในวงจรแห่งทุกข์ แต่อยากหลุดพ้นมีวิธีปฏิบัติดังนี้ อธิษฐานจิตมุ่งมั่นให้บรรลุความสิ้นอาสวะคือนิพพาน ดังที่กล่าวอธิษฐานกรวดน้ำว่า

’อาสะวักขยา วะหัง โหตุ นิพพานัง โหตุ“ เพียรระวังไม่ให้เผลอทำบาป เพียรเลิกละบาปที่เคยทำโดยเด็ดขาด เพราะหากทำบาปกรรมอีกจะต้องเสียเวลาไปเกิดในอบายภูมิอีกนานแสนนาน เพียรรักษาบุญความดีไว้ให้มั่นคงเพื่อเกิดในภพภูมิที่ดียิ่งขึ้น เพียรสร้างกุศลให้เพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลา เพียรสลัดตัดกิเลสโซ่ที่ผูกมัด คือสังโยชน์ 10 ประการให้ขาดหมดไปทีละข้ออันเป็นต้นตอแห่งทุกข์ ทำให้เกิดมาในวัฏสงสาร เมื่อสลัดตัดถึงข้ออวิชชาได้ถือว่าบรรลุพระนิพพานหมดโซ่ตรวนผูกมัด หลุดพ้นจากวงจรแห่งทุกข์ก็พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.dailynews.co.th/Content/Article/236901/‘บัว’+ดอกไม้พุทธบูชา+มากความหมายสื่อหลักธรรม
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ