ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘ธรรมะไม่ใช่ยาขม’ เมื่อเสิร์ฟผ่าน กลุ่มธรรมะอารมณ์ดี  (อ่าน 2303 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



‘ธรรมะไม่ใช่ยาขม’ เมื่อเสิร์ฟผ่าน กลุ่มธรรมะอารมณ์ดี
โดย...วรธาร ทัดแก้ว ภาพ : ธรรมะอารมณ์ดี

เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ที่กลุ่มพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนารุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มธรรมะอารมณ์ดี” ได้ทำงานด้านการเผยแผ่พระศาสนาอย่างขันแข็งมาโดยตลอดและด้วยใจรัก จนชื่อเสียงโด่งดังและผลงานเป็นที่ประจักษ์ จนทุกวันนี้หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน โรงเรียน และสถาบันต่างๆ จะหาพระไปอบรมธรรมะให้อาหารใจแก่บุคลากรของตน กลุ่มธรรมะอารมณ์ดี...คือ หนึ่งในท็อปทรีพระนักเผยแผ่ที่ถูกเลือกในเวลานี้

กลุ่มพระธรรมะอารมณ์ดีคือใครเล่า เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เผยแผ่ธรรมะในรูปแบบไหน ใช้วิธีการใดและด้วยเทคนิคอะไร ทำไมผู้คนทุกเพศทุกวัยจึงชอบอกชอบใจและเรียกร้องหา รู้จักท่านเหล่านี้ไว้มีแต่ได้กับได้ โดยเฉพาะความสุข ความสดชื่น ความรื่นเริง และความกล้าหาญในธรรม


 ask1 ans1 ask1 ans1

รู้จัก...พระธรรมะอารมณ์ดี

เครือข่ายธรรมะอารมณ์ดีเกิดขึ้นมาจากการรวมตัวของพระหนุ่มไฟแรง 3 รูป ซึ่งอยู่กันคนละวัด แต่มีอุดมการณ์และความตั้งใจในการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาแน่วแน่ ประกอบด้วย “พระมหาวีรพล วีรญาโณ” ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา และเป็นประธานเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี รูปที่สอง คือ “พระครูปลัดบัณฑิต อินฺทเมธี” วัดสังข์กระจาย กรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นรองประธานเครือข่าย ฝ่ายวิชาการ รูปสุดท้าย คือ “พระมหามงคล วรธมฺมวาที” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี รองประธานเครือข่าย ฝ่ายกิจกรรม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ และอยู่ภายใต้ “สถาบันส่งเสริมและเผยแผ่การพระศาสนาแห่งประเทศไทย” ซึ่งตั้งขึ้นโดย “พระพรหมวชิรญาณ” เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และกรรมการมหาเถรสมาคม

ในการรวมตัวเพื่อทำงานเผยแผ่นั้น พระมหาวีรพล ให้มุมมองว่า เด็กและเยาวชนสมัยนี้เข้าวัดมากขึ้นก็จริง แต่การนำหลักธรรมไปสู่การปฏิบัติถือว่าน้อย สาเหตุหนึ่งมาจากเด็กมองว่าการเทศน์แบบเดิมของพระน่าเบื่อ ฟังเข้าใจยาก จึงเห็นว่าพระที่ทำงานเผยแผ่ต้องปรับบทบาทการเผยแผ่ใหม่เป็นแบบเชิงรุก คือ ต้องวิ่งเข้าหาคน ไม่ใช่รอให้คนเข้ามาหา ขณะเดียวกัน วิธีการ เทคนิค ตลอดจนอุปกรณ์ในการเผยแผ่ก็ต้องหลากหลาย เข้ากับยุคสมัย คนฟังเปิดรับ จะเทศน์แบบเดิมๆ คงไม่ได้ผลแล้ว


 :96: :96: :96:

“บทบาทใหม่ในการทำงานเผยแผ่ของพระยุคใหม่ต้องเดินหน้าเข้าหาประชาชน โดยการใช้วิธีการใหม่ๆ เทคนิคใหม่ๆ ผสมผสานกับเทคโนโลยี เพื่อให้นำหลักธรรมไปสู่เด็กและเยาวชนเกิดความน่าสนใจและนำไปใช้ได้จริง ซึ่งสมัยก่อนคนต้องมาหาพระ แต่ทุกวันนี้พระต้องวิ่งเข้าหาเอง จึงเป็นที่มาของการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี และเรามองว่าการรวมกลุ่มกันทำงานนั้นจะมีประสิทธิภาพและมีพลังมากกว่าคิดคนเดียวทำคนเดียว นี่คือเหตุผลของการรวมกลุ่ม” ประธานเครือข่ายให้ข้อมูล

ส่วนที่ต้องเป็น “ธรรมะอารมณ์ดี” พระครูปลัดบัณฑิต เล่าว่า มาจากการที่ได้ออกไปทำงานเผยแผ่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะอบรมเด็กนักเรียน นิสิตนักศึกษาตามโรงเรียนและสถาบันต่างๆ สิ่งหนึ่งที่เห็นเสมอ คือ คนเหล่านั้นมีความสุข คนเหล่านั้นมีรอยยิ้ม คนเหล่านั้นได้เบิกบานในธรรม และนั่นก็เป็นที่มาของธรรมะอารมณ์ดี

 :25: :25: :25:

“เริ่มแรกเดิมทีไม่ได้ใช้ชื่อธรรมะอารมณ์ดี เราใช้ชื่อว่า ‘ธรรมะ ฟอร์ ยู’ ที่แปลว่า ธรรมะเพื่อคุณเพราะเราต้องเอาธรรมะออกไปให้ประชาชน แต่ปรากฏว่าใช้ไม่ถึงเดือนก็เปลี่ยนเป็นธรรมะอารมณ์ดี เพราะชื่อจะออกแนวฝรั่งไปหน่อย”

 

วิธีการนำเสนอในแบบธรรมะอารมณ์ดี

พระครูปลัดบัณฑิต เล่าวิธีการนำเสนอในแบบฉบับธรรมะอารมณ์ดีว่า ใช้วิธีการแบบเดียวกับของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก กล่าวคือ ไม่ว่าจะเทศน์อะไรจะต้องไม่ทิ้งหลักการ คือต้องยึดหลักธรรมเป็นหลักขณะเดียวกันในเรื่องของเทคนิคก็จะใช้เทคนิคเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ

“พระพุทธเจ้าไม่ว่าจะทรงเทศน์หรือสอนใคร จะใช้เทคนิค 4 ส. คือ สันทัสสนา สมาทปนา สมุตเตชนา สัมปหังสนา แปลเป็นไทยสมัยใหม่ คือ แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้า ร่าเริง สำหรับเราที่เป็นพระรุ่นใหม่ จึงคิดสโลแกนขึ้นมาใหม่ แต่ก็ใช้เทคนิคเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือ ‘สนุก สุข ซึ้ง กินใจ’ กลายเป็นอัตลักษณ์ของธรรมะอารมณ์ดีตั้งแต่นั้นมา กล่าวคือ ไปที่ไหนคนฟังต้องสนุก ต้องมีความสุข ต้องซาบซึ้งในพระธรรม กินใจ อยากประพฤติปฏิบัตินำมาใช้ในชีวิต”


 :49: :49: :49:

ขณะที่รูปแบบและวิธีการในการทำงานกลุ่มธรรมะอารมณ์ดีนั้น ก่อนจะออกไปจะต้องมีการเตรียมพร้อมและทำการบ้านก่อนเสมอ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มบุคคลที่เข้าอบรม แม้ว่าจะเป็นกลุ่มเดิมๆ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมและหาอะไรใหม่ๆ มาใช้ เพื่อให้คนฟังรู้สึกว่าธรรมะอินเทรนด์ตลอด

“ทุกครั้งก่อนจะออกไปงานตามที่ได้รับนิมนต์ไว้ เราจะต้องมาคุยกันก่อนว่าจะอบรมแบบไหน ใช้ธรรมะอะไรบ้าง สื่ออะไรบ้าง รวมถึงอุปกรณ์และกิจกรรมอะไรจึงจะเหมาะสม เพราะเราไม่ได้เทศน์ให้คนแก่ฟังเท่านั้น แต่เทศน์ให้กับทุกวัยฟัง ไม่ว่าจะเด็กอนุบาล เด็กมัธยม เด็กอาวชีวะ เด็กอุดมศึกษา พนักงานบริษัท ผู้บริหาร ข้าราชการทุกระดับ เช่น สอนเด็กอนุบาลก็ต้องใช้ธรรมะแบบหนึ่ง วิธีการนำเสนออีกแบบหนึ่ง อาชีวะอีกแบบหนึ่ง มัธยม มหาวิทยาลัย พนักงานบริษัท ข้าราชการก็อีกแบบหนึ่ง”


 

โดดเด่นด้วยกิจกรรม

สิ่งที่ขาดไม่ได้และถือเป็นความโดดเด่นของกลุ่มธรรมะอารมณ์ดี คือ การใส่กิจกรรมลงไปเพื่อให้คนฟังหรือผู้ที่เข้ารับการอบรมได้สะท้อนมุมคิดของตัวเองออกมา ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้ผลเป็นอย่างดีเพราะส่วนใหญ่จะเข้าใจธรรมะผ่านกิจกรรมเกือบทั้งนั้น

“เราไม่พูดอย่างเดียว ทุกครั้งที่ไปอบรมให้ธรรมะ เราจะนำกิจกรรมไปให้เขาทำด้วย เช่น เราเอาเชือกมาผูกสองเส้น แล้วให้พวกเขาช่วยกันแก้ ซึ่งเด็กจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่เป็น 20นาทีที่จะทำให้เขาจำไปตลอดชีวิต หรือเอากระดาษเอ 4 ให้เขาพับให้ได้ 8 ช่อง แล้วฉีกออกมาให้เขียนคนที่ตนรัก 7 คน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ก็ว่าไป เว้นแผ่นที่ 8 ไว้ เด็กก็จะสงสัยว่า ทำไมแผ่นที่ 8 ต้องเว้นไว้ ก็บอกว่าเพื่อให้เขาเขียนชื่อตัวเอง ซึ่งเด็กก็จะคิดไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่จะไม่คิดถึงตัวเอง” พระมหาวีรพล กล่าว




พระไม่มีเรต...มีแต่ใจมุ่งทำงาน

สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความสง่างามของกลุ่มธรรมะอารมณ์ดี คือ ความตั้งใจในการทำงานที่ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน และไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง ไม่ได้ทำเพื่อเงินทอง แต่ทำเพื่อต้องการให้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในใจของประชาชน หรือหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นในชีวิตแล้วรู้จักนำธรรมะมาใช้แก้ปัญหา ก็ถือเป็นความสำเร็จของธรรมะอารมณ์ดีแล้ว

“พระอาจารย์มองเห็นสิ่งหนึ่งของความเป็นธรรมะอารมณ์ดี เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยเงินหรือด้วยผลประโยชน์ เอาง่ายๆ ถ้าเริ่มต้นด้วยเงิน ปีที่แล้วจะได้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ล้านบาท ในการบรรยายธรรม ถามพระครูปลัดบัณฑิตเป็นหนี้อยู่เท่าไหร่ จากการสร้างวัด 3-4 ล้านบาท โยมเห็นว่าเราตั้งใจทำจริง เขาเชื่อก็ถวายมา เราไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น เพราะเราเริ่มต้นด้วยวิธีการของพระพุทธเจ้า คือ ให้เขาก่อน ส่วนโยมจะถวายหรือไม่ถวายไม่ใช่ประเด็นที่เราจะถวิลในส่วนนั้น เราหวังแต่เพียงว่าทำอย่างไรให้ธรรมเจริญงอกงามในใจของเขาก็เพียงพอแล้ว”


 :25: :25: :25:

อีกความสง่างามหนึ่งของกลุ่มธรรมะอารมณ์ดี คือ การทำงานภายใต้สถาบันส่งเสริมและเผยแผ่การพระศาสนาแห่งประเทศไทย ภายใต้สายตาและการสนับสนุนของพระพรหมวชิรญาณ ซึ่งหากใครที่จะนิมนต์กลุ่มพระธรรมะอารมณ์ดีจะต้องทำหนังสือนิมนต์ผ่านมาที่สถาบันเท่านั้น ไม่ว่าจะนิมนต์เดี่ยวหรือเป็นทีม นอกจากนี้กลุ่มธรรมะอารมณ์ดียังจัดพิมพ์หนังสือธรรมะที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายทั้งสีสันสวยงามแจกฟรีอีกด้วยจำนวนหลายแสนเล่ม

ลองไปสัมผัสดูแล้วจะรู้ว่าธรรมะที่เป็นยาขมของใครหลายๆ คนนั้น กลุ่มพระธรรมะอารมณ์ดีสามารถทำให้ทุกคนสนุก สุข ซึ้ง กินใจได้ ไม่เชื่อก็ลองดูเถิด ติดต่อได้ที่สำนักงานสถาบันส่งเสริมและเผยแผ่การพระศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา ถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ โทร. 087-812-4190 หรือที่ www.dhammaaromdee.com <http://www.dhammaaromdee.com>


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/303948/ธรรมะไม่ใช่ยาขมเมื่อเสิร์ฟผ่านกลุ่มธรรมะอารมณ์ดี
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ