ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม (2)  (อ่าน 2166 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม (2)
« เมื่อ: กันยายน 08, 2014, 11:39:15 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : ปัญญาธรรม (2)

ปัญญาธรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งพอเราอบรมจิตดีแล้วปัญญาธรรมก็จะบังเกิดขึ้นเอง ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานดี ปัญญาธรรมก็เกิดง่าย แต่ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานไม่ค่อยดี ปัญญาธรรมก็จะเกิดช้าหน่อย

ปัญญาธรรมที่ได้จากการปฏิบัตินั้นเปรียบได้กับมีด ทั่วไปแล้วมีดแต่ละเล่มจะคมไม่เท่ากัน ดังนั้นปัญญาของบางคนก็เป็นมีดที่คม บางคนก็คมน้อย บางคนก็ทื่อไปเลย ปัญญาแต่ละคนก็แหลมคมไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่บุญกรรมของแต่ละคนที่ทำสะสมไว้ด้วย


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

อย่างบางครั้งภูมิปัญญาธรรมในระดับที่จะบรรลุพระนิพพานก็ง่ายคล้ายกับหญ้าปากคอก ซึ่งพอเราปฏิบัติไปจนพร้อมแล้ว และพอสภาวะนั้นมาถึงเรากลับสามารถเข้าใจได้โดยง่าย แต่ถ้าหากปฏิบัติยังไม่ถึงก็จะดูว่าซับซ้อนและเข้าใจยาก

นี่เป็นเพราะภูมิปัญญาในการศึกษาธรรมของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากเป็นภูมิปัญญาของผู้ที่ศึกษาธรรมมาเยอะ ก็เปรียบได้เหมือนกับการรอน้ำมาเติมเพียงหยดเดียวก็จะเต็ม พอถึงคราวที่มีโอกาสได้ฟังธรรมในข้อที่มาเติมเต็มจึงกระจ่างและเกิดปัญญาธรรมขึ้นมาในใจโดยง่ายดาย เสมือนน้ำหยดสุดท้ายที่หยดลงมาทำให้น้ำในแก้วใบนั้นเต็มพอดี ซึ่งที่ผ่านๆ มาน้ำอาจจะไม่เคยหยดลงแก้วเลยด้วยซ้ำไป



เวลาที่เราปฏิบัติต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จิตก็จะพัฒนาไปเหมือนการได้ส่องกระจก จากที่ปกติเคยมองเห็นแต่คนอื่นเท่านั้น ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แต่จะไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นยังไง เพราะไม่มีกระจกมาสะท้อนให้เห็นตัวเอง แต่พอมีกระจกให้ส่องก็ถึงเริ่มรู้เช่นว่า “อ๋อ...ไอ้ความอิจฉาริษยาของเรามันน่าเกียจอย่างนี้นี่เอง” เป็นต้น

ในภาวะปกติที่เรายังมีอารมณ์ต่างๆ ในแต่ละวัน เราย่อมจะไม่สามารถมองเห็นธรรมได้ เพราะมีอารมณ์ไปปกคลุมเอาไว้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ใจเราเริ่มได้สมาธิแล้ว ก็จะพบว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งสิ้น ซึ่งถ้าเราปฏิบัติไปจนใจมันนิ่งแล้ว อารมณ์ต่างๆ ก็จะไม่สามารถมาปกคลุมใจเราได้อีก แล้วเราก็จะสามารถมองเห็นอาการกิเลสต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอาฆาตพยาบาท หรือความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวัน


 :25: :25: :25: :25:

การพิจารณาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ที่เกิดขึ้นกับเราในแต่ละวันนั้นถือเป็นธรรมะในขั้นโลกียธรรม ซึ่งพอเรารู้แล้วเห็นแล้วก็จะทำให้เราสามารถพ้นจากความทุกข์บนโลกได้ เพราะเราจะเท่าทันมัน ทีนี้พอทุกข์เกิดขึ้นมาเราก็จะสามารถดับความทุกข์เหล่านั้นได้เร็วขึ้นกว่าเดิม โลกจึงไม่สามารถทำร้ายเราได้เหมือนแต่ก่อน หรือถ้าจะทำร้ายเราได้ ก็ทำได้น้อยลง

ส่วนคนที่ไม่ได้ฝึกจิต ไม่มีการพิจารณาธรรมดังกล่าว ใจก็จะถูกสมมติบนโลกทำร้าย พาไปสุขไปทุกข์ต่างๆ นานา ตามแต่ที่อารมณ์จะนำพาไป บางคนโดนทำร้ายหนักจนรับไม่ไหว ถึงขั้นเสียสติไปก็มี ฆ่าตัวตายไปก็มี หรือไปฆ่าคนอื่นตายก็มี ทั้งนี้ด้วยเพราะขาดปัญญาธรรมนั่นเอง.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/070914/95823
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ