ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อาหารสมองสองวัย  (อ่าน 1037 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อาหารสมองสองวัย
« เมื่อ: ตุลาคม 27, 2014, 10:28:59 am »
0

อาหารสมองสองวัย
โดย...วราภรณ์

อาหารสมองสำหรับคนต่างวัย ที่ทำแล้วไม่เครียด ไม่เหงา เติมชีวิตให้มีพลังทำกิจกรรมอยู่เสมอๆแถมยังเพิ่มรอยยักในสมองได้ดีอีกด้วย!

  ‘นั่งสมาธิ เสริมสร้างสติและปัญญา’ ลลิดา ลีละยูวะ

ผู้บริหารสาวสวยสุขภาพดีวัย 39 แหววลลิดา ลีละยูวะ เอ็กเซ็กคิวทีฟ ดีไซน์ ไดเรกเตอร์ บริษัทดับเบิ้ลยู เอ็มอิมเมจิเนียร์ และยังมีงานสอนด้านบุคลิกภาพ ที่สถาบันจอห์น โรเบิร์ต เพาเวอร์สการทำงานเป็นเจ้าของบริษัทและผู้บริหารระดับสูงแห่งบริษัทรับออกแบบตกแต่ง แม้อยู่ในช่วงวัยสาวที่การทำงานพิสูจน์ตัวเองสำหรับใครหลายๆ คนเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่สำหรับลลิดา เธอคิดว่าช่วงวัยนี้เป็นช่วงเวลาที่ทำงานสนุก มีพลังกายใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิตเยอะและทำได้มากขึ้น เพราะโชคดีที่เธอได้ทำงานที่รัก

   “ช่วงอายุนี้เป็นวัยที่ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่วันหนึ่งขอทำงานเพียง 8 ชั่วโมง เพราะคิดว่าการใช้ชีวิตคือการจัดสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงานที่สมดุล จริงๆ มาตรวัดความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนต้องมีเงินเยอะ หน้าที่การงานดี จึงจะมีความสุข แต่ความสุขเราคือ การได้ทำงานที่รัก ได้อยู่คนที่เรารัก เช่น สามีและเพื่อน และครอบครัว”


     :96: :96: :96: :96: :96:

    ดังนั้น เป้าหมายสูงสุดของการมีชีวิตของลลิดาคือ การอยู่อย่างมีความสุข และหมั่นเติมอาหารให้กับสมอง เพราะเธอมองว่าสมองก็เหมือนกับร่างกายที่ยังต้องการการพักผ่อน อาหารที่ดีที่สุดของร่างกายคือ การออกกำลังกาย สมองก็เหมือนกัน ดังนั้นอาหารสมองของลลิดาคือ การอ่านหนังสือธรรมะและการนั่งสมาธิ ทุกวันก่อนไปทำงาน ถือเป็นการรีเฟรชสมองและจิตใจได้ดีที่สุด

    “แหววชอบนั่งสมาธิ เพราะเรารู้สึกเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้หยุด ได้คิด ไม่อย่างนั้นสมองจะรันไปเรื่อยๆ บางคนเหมือนเครื่องจักรทำงานไม่มีหยุด
     แต่เมื่อเราได้หยุดคิดก่อนไปทำงานสัก 1530 นาทีต่อวัน ทุกเช้าก่อนไปทำงาน แหววทำแบบนี้มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เหมือนสมองได้พักผ่อน การเรียนก็ทำให้เข้าใจดีขึ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวัน
     แต่ไม่เห็นผลในวัยเรียนชัดเจน เพราะเรายังเด็กยังไม่มีเรื่องคิดมาก
     แต่เมื่อถึงวัยทำงานการนั่งสมาธิช่วยฝึกทำให้เราเป็นคนที่นิ่งขึ้น
     สอง คือ สามารถจัดระบบความคิดได้ดีขึ้น ใจเย็นลง สมองจดจำ แก้ปัญหาได้ดี เพราะเรานิ่ง เราจึงมีสติเพราะเมื่อเราโตปัญหาที่เข้ามากระทบจะแก้ไขได้ยากกว่าตอนเรียนหนังสือ แต่ตอนโตทำให้เราจัดการกับปัญหาได้ดีกว่า”


     st12 st12 st12 st12 st12

    อาหารสมองอีกขนานหนึ่งของลลิดาคือ การฝึกให้ตนเองเป็นผู้ที่มี “โพสิทีฟ ติงกิ้ง” คือ การมองโลกแง่ดี เป็นการฝึกสมองให้คิดดีทำดี เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆ ฝึกฝน เพราะโลกเรามีสองแง่มุมเสมอ คือมีทั้งดีและไม่ดี แต่เรามองมุมไม่ดีว่าก็มีข้อดีแอบแฝงอยู่ ก็จะทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้น หัดคิดแบบนี้บ่อยๆ ทำให้เธอไม่ค่อยโมโห และยิ้มได้เสมอ แม้จะมีอารมณ์โกรธบ้าง แต่จัดการกับอารมณ์ได้ดีขึ้นเมื่อไม่โกรธก็ไม่เครียด และทำให้เธอเข้ากับคนได้ง่ายขึ้น

เรื่องของการอ่านหนงสือ ค่าที่ลลิดาชอบอ่านหนังสือมากๆ โดยเฉพาะหนังสือจำพวกฮาวทูและจิตวิทยาที่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตตนเองแล้วยังให้คำแนะนำกับผู้อื่นได้ด้วย นักเขียนที่ลลิดาเป็นแฟนพันธุ์แท้คือ Dale Carnegie เล่มล่าสุดของนักเขียนท่านนี้ที่เธออ่านคือ “ฮาว ทู วิน เฟรนด์ อินซูเรนท์ พีเพิล” ที่สอนเรื่องหาวิธีที่จะชนะใจคน อีกนักเขียนหนึ่งที่เธอชื่นชอบคือ Heidigrant ที่เขียนเกี่ยวกับจิตวิทยาทำอย่างไรจะประสบความสำเร็จ เป็นต้น



     อาหารสมองวิธีสุดท้ายคือ การไปเที่ยวให้แตกต่างในแต่ละช่วงวัย เช่น สมัยเรียนหนังสือก็ท่องเที่ยวแนวผจญภัยหน่อย แต่ช่วงนี้เธอเน้นเที่ยวขอเพิ่มออฟชั่นเรื่องความสะดวกสบายเข้ามานิดหนึ่ง ซึ่งการท่องเที่ยวไปพบเห็นสิ่งแปลกใหม่จำเป็นมากๆ สำหรับนักสร้างสรรค์ด้านการออกแบบแบบเธอ

    “หลายคนบอกว่าทำไมต้องไปท่องเที่ยวในสถานที่จริง เปิดดูวิวในเว็บไซต์ต่างๆ ก็ได้ แต่แหววว่าความรู้สึก ณ โมเมนต์ที่เราได้ดื่มด่ำอยู่ในบรรยากาศนั้นมันให้ความรู้สึกแตกต่างจากการดูภาพเพราะทำให้เราได้เจอ เจออะไรใหม่ๆ ทำให้ชีวิตตื่นเต้น มีชีวิตชีวา ตอนที่เรายังมีเรี่ยวแรงขอให้ไปเที่ยวซะ เพราะสุขภาพร่างกายเรายังอำนวยอยู่ แต่บางคนมักคิดว่า ตอนวัยหนุ่มสาวขอทำงานเพื่อเก็บเงินสร้างฐานะให้เต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลานั้นร่างกายก็ไม่พร้อมแล้ว จะเที่ยวไปก็ไม่สนุกแล้วอย่างตอนเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกาแหววชอบไปเนชั่นแนล ปาร์ก มากๆ ได้ไปเห็นเยลโล่ สโตน ได้ไปปีนเขาดูน้ำตก ซึ่งถือเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมกับการผจญภัยนิดๆ แต่เมื่อถึงวัยที่อายุมากขึ้น จะไปเที่ยวสถานที่ที่ไปยากๆ อย่างทิเบต สำหรับผู้สูงวัยบางคนก็อาจไม่เหมาะแล้วค่ะ”


     ask1 ans1 ask1 ans1 ask1 ans1


    ‘อ่านหนังสือและเป็นที่ปรึกษา’ วิธีลับสมองของคนในวัยเกษียณ

     อดีตนักหนังสือพิมพ์ พนอ ฉาบสุวรรณ หรือ “ป้าพนอ” ของหลานๆ น้องๆ ในแวดวงสื่อ แม้วัยจะล่วงเลยเข้าเลข 73 ปี แต่คุณป้าเพิ่งปลดเกษียณตัวเองจริงๆ เมื่อราวปีกว่าๆ มานี่เอง ด้วยรักในการทำงานหลังเออร์ลี รีไทร์ในวัย 55 จากหนังสือพิมพ์ย่านประชาชื่น คุณป้าพนอก็ยังทำหน้าที่สื่อมวลชนในตำแหน่งนักข่าวอาวุโส เขียนบทความเรื่องทั่วไปอิงการเมืองเล็กๆ ให้กับนิตยสารเล่มหนึ่ง

     แต่เมื่อย่างเข้าวัย 73 ปี ป้าพนอขอวางมือจากวงการน้ำหมึกมาใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกสาวสองคน และแมวอีก 8 ตัวอย่างมีความสุขตามอัตภาพ แต่ค่าที่เป็นคนไม่ชอบหยุดนิ่ง จึงรู้สึกสนุกกับการหากิจกรรมทำ เช่น ทำอาหาร เลี้ยงแมว เล่นไลน์แชตกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม และอ่านนิยายเล่มโปรด ซึ่งกิจกรรมสองอย่างหลังป้าพนอบอกว่าเป็นการเพิ่มอาหารสมองได้เป็นอย่างดี


     :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

    “ทำงานหนังสือพิมพ์ต้องตื่นเช้าตลอด เพื่อมาเช็กข่าวสารบ้านเมือง แม้จะปลดเกษียณแล้วก็ไม่เคยตื่นสาย ตอนนี้ตื่นมาต้องกินข้าวเช้าเพื่อกินยาต่างๆ จาก 40 ปีไม่เคยกินข้าวเช้า อยู่บ้านเปิดดูทีวีเช็กข่าวสารช่องรายการโปรดที่เราชอบ ทำให้ไม่รู้สึกเหงา เพราะป้าต้องหาเรื่องทำอยู่ตลอดเวลาตอนนี้มีเวลาหันมาทำกับข้าวมากขึ้น เวลาออกไปกินข้าวที่ไหนอร่อย ก็จดจำรสชาติแล้วมาทำให้ลูกๆชิม เวลาทำแล้วลูกบอกอร่อยแม่ก็มีความสุข”

    กิจกรรมเพื่อเพิ่มอาหารสมองสไตล์ป้าพะนอคือ การอ่านนวนิยายของนักเขียนคนโปรด กฤษณา อโศกสิน ที่ผลิตผลงานดีๆ ออกมาตลอดเวลา ทำให้คุณป้าได้อ่านงานเขียนดีๆ มากมาย อรรถรสที่ได้อ่านคือความสนุก เพราะส่วนใหญ่เนื้อหาที่นักเขียนถ่ายทอดมักเอามาจากประสบการณ์ที่เธอได้รับการบอกเล่า จึงเป็นเรื่องราวชีวิตจริงๆ ของคน จะมีวิธีการคิดแก้ไขปัญหา ทำให้ป้าพนอได้เรียนรู้แง่มุมของชีวิตคนอื่นผ่านตัวละครที่ถูกสร้างมาให้จับต้องได้เป็นคนธรรมดาที่นักอ่านจะเข้าถึงได้ ไม่รวยล้นฟ้า ดูธรรมชาติจริงใจ ซึ่งแตกต่างจากการนำมาสร้างเป็นละครที่มักถูกปรับให้แปลกแตกต่างจากต้นฉบับ ดูแล้วไม่ได้อรรถรสที่แท้จริง คุณป้าจึงชอบอ่านนวนิยายเพราะสร้างสรรค์มากกว่า



    “นวนิยายแต่ละเรื่องของคุณกฤษณาจะแฝงไว้ซึ่งความกตัญญูต่อครอบครัว ต่อผู้ใหญ่ เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับสังคมไทยเรา นักเขียนอีกคนที่ชอบมากคือ สุวรรณี สุคนธา และวสิษฐ เดชกุญชร เป็นเรื่องการเมืองนิดๆ เป็นนิยายเชิงสืบสวน ไม่ใช่นิยายหวาน บทรักเขียนได้ดีมากๆ อยู่ในวัยเกษียณแล้วป้าชอบอยู่บ้านเพื่ออ่านหนังสือมากกว่าออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ป้าชอบอ่านหนังสือและอ่านได้ตลอดเวลา

     นอกจากนั้นก็ดูรายการข่าวของนักอ่านข่าวคนโปรดคือ คุณกนก กับคุณธีระ อีกชนิดรายการที่ชอบคือ ดูละครตลก หรือรายการตลก ดูแล้วได้หัวเราะ ดูแล้วสนุก เพราะป้าเป็นคนค่อนข้างจริงจังกับชีวิตมากๆ ไม่ค่อยยอมคน แต่การดูอะไรตลกๆ ไม่ได้ช่วยให้เราลดความใจร้อนลง แต่การได้หัวเราะทำให้เราหายเครียด”


     :49: :49: :49: :49: :49:

     เคล็ดลับเพิ่มอาหารสมองอีกวิธีหนึ่งคือ การเล่นไลน์แชทกับเพื่อนๆ ปัจจุบันป้าพะนอใช้โทรศัพท์มือถือซัมซุง รุ่นเอส 5 ทันสมัยไม่ใช่ย่อย ก็เป็นเพราะเพื่อนๆ ช่วยอัพเดทให้ ปกติป้าพนอบอกว่าไม่ค่อยสนใจเทคโนโลยีสักเท่าไหร่ พอมีโทรศัพท์มือถือที่ทันสมัยคุณป้าจึงมีความสุขกับการซื้อสติ๊กเกอร์ไลน์อันไหนชอบโหลดเสียสตางค์ก็ยอม

  “ป้าไม่เล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์อย่างเดียว ป้าชอบส่งสติ๊กเกอร์ให้เพื่อนๆ การเล่นไลน์สำหรับป้าทำให้ชีวิตมีสีสัน แล้วไม่เป็นอัลไซเมอร์ด้วย เพราะทำให้ป้าได้คิด เพื่อนตอบมาแบบนี้ เราจะตอบอย่างไร ขอบอกว่าป้าพิมพ์เร็ว เพื่อนๆ โต้ตอบป้าไม่ทันเชียว

    ตอนนี้ป้าก็มีความสุขกับการอยู่แบบพอเพียง การได้ฟังธรรมะจากพระหนุ่มรูปหนึ่งชื่อ พระชัยศรี ที่ จ.กาญจนบุรี ก็ทำให้ป้าได้เข้าถึงรสธรรมะมากขึ้น เพราะท่านจะนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเทศนาให้เข้าใจง่ายขึ้น เวลาอ่านหนังสือธรรมะบทไหนที่ชอบ ป้าก็ชอบคัดย่อใส่สมุดบันทึกของตัวเอง เก็บไว้อ่านสอนใจ หรือเวลาไปเที่ยวที่ไหนในอดีต ป้าก็ชอบจดบันทึก เวลาเราแก่ตัวลงจะได้นำกลับมาอ่านเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงวันเวลาเหล่านั้น”


     :25: :25: :25: :25: :25: :25:

    มาถึงย่อหน้าสุดท้าย ป้าพนอ กล่าวว่า เมื่อถึงชีวิตวัยเกษียณป้าพยายามทำให้ตัวเองไม่ว่าง เพราะคิดเสมอว่า เวลาวันหนึ่งผ่านไปเร็วมาก

    “เวลาหนึ่งวันสั้นนัก เราจึงไม่มีเวลาเหงา เราจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลูกสาวคนเล็กชอบอ่านเฟซบุ๊ก ใครโพสต์เรื่องหมาแมวถูกทิ้ง ก็จะคอยติดตามเอามาเลี้ยง หรือเป็นสื่อกลางให้คนอื่นนำมาเลี้ยง ป้าก็ช่วยลูกสาวด้วย ถือเป็นการทำเพื่อคนอื่น เพราะเรารู้สึกสงสาร ใครขอบริจาคก็ให้ ป้าคิดว่าเราต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เราอายุปานนี้แล้ว มีคนมาปรึกษาปัญหาชีวิต ก็เป็นการลับสมองแบบหนึ่ง เราให้คำแนะนำเขาได้ เราควรทำ"


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.posttoday.com/ไลฟ์สไตล์/สุขภาพ/323628/อาหารสมองสองวัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 27, 2014, 10:36:59 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ