พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารเป็นกษัตริย์ครองเมืองราชคฤห์แคว้นมคธ สืบต่อจากพระราชบิดา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชแล้วได้เสด็จไปประทับอยู่ที่ปัณฑวบรรพต แคว้นมคธ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ข่าวจึงเสด็จไปนมัสการ และชักชวนให้สละเพศบรรพชิตมาครองราชย์ด้วยกัน เมื่อได้รับคำปฏิเสธจึงขอคำปฏิญญาว่า หากทรงค้นพบสิ่งที่แสวงหาเมื่อใด ขอให้มาสอนพระองค์เป็นคนแรก
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าเมื่อโปรดปัญจวัคคีย์ โปรดพระยสะและสหาย มีพระอรหันต์ จำนวน 60 องค์ ทรงส่งไปประกาศพระศาสนายังแคว้นต่างๆแล้ว พระองค์จึงเสด็จมุ่งตรงไปยังเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อเปลื้องคำปฏิญญาที่ประทานให้กับพระเจ้าพิมพิสารนั้นเอง
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้นำแคว้นใหญ่ ถ้าพระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้ว ประชาชนคนอื่นๆ ก็จะดำเนินรอยตาม ทรงดำริเช่นนี้จึงเสด็จไปยังเมืองราชคฤห์
สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองทรงเคารพนับถือชฏิลสามพี่น้องอยู่ พระพุทธองค์จึงต้องไปโปรดสามพี่น้องก่อน เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดชฏิลสามพี่น้องสละลัทธิความเชื่อดั้งเดิมมาเป็นสาวกของพระองค์แล้ว ก็พาสาวกใหม่จำนวนพันรูปไปพักยังสวนตาลหนุ่มใกล้เมืองราชคฤห์
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้สดับข่าวนี้ จึงเสด็จพร้อมประชาชนจำนวนมากไปยังสวนตาลหนุ่ม ได้เห็นอาจารย์ของตนนั่งคุกเข่าประคองอัญชลีต่อพระพุทธเจ้า ประกาศเหตุผลที่สละลัทธิความเชื่อถือเดิมหันมานับถือพระพุทธศาสนา ก็หายสงสัย ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วนับถือพระรัตนตรัย และถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้า พร้อมภิกษุสงฆ์ที่พระราชวังในวันรุ่งขึ้น
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ถวายสวนไผ่นอกเมืองให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวัน เวฬุวันนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กัลบทนิวาปสถาน คือ สถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต
พระเจ้าพิมพิสารเป็นคนแรกที่ทำพิธีกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากถวายวัดเวฬุวันแล้วคืนนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงฝันร้าย เห็นพวกเปรตมาร่ำร้องอยู่ต่อหน้า น่าเกลียดน่ากลัวมาก รุ่งเช้าขึ้นมาพระองค์เสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อทรงทราบว่าเปรตเหล่านั้นเคยเป็นพระญาติของพระองค์มาของส่วนบุญ และได้รับคำแนะนำให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา วันต่อมาพระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์ไปเสวย ภัตตาหารในพระราชวังแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่พวกเปรตเหล่านั้น ตกดึกคืนนั้นพวกเปรตมาปรากฏโฉมอีก แต่คราวนี้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ขอบคุณที่แบ่งส่วนบุญให้แล้วก็อันตรธานหายวับไป
เมื่อหันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็ง จนแว่นแคว้นของพระองค์มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วว่าเป็นดินแดนแห่งพระธรรม พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน มีพระอัครมเหสีพระนามว่าโกศลเทวี หรือ เวเทหิ เป็นพระกนิษฐาของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้พระกนิษฐาของพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระมเหสีเช่นกัน
มีพระโอรสนามว่า อชาตศัตรู (ผู้เกิดมาไม่เป็นศัตรู) ในช่วงตั้งครรภ์พระนางเวเทหิทรงแพ้พระครรภ์ใคร่เสวยพระโลหิตของพระสวามี โหราจารย์ทำนายว่าพระโอรสองค์นี้จะทำปิตุฆาต แต่พระเจ้าพิมพิสารก็มิทรงแยแสต่อคำทำนาย
เมื่อพระโอรสประสูติแล้ว ทรงให้การศึกษาอบรมเป็นอย่างดี เจ้าชายน้อยก็อยู่ในพระโอวาทเป็นอย่างดี แต่พอเจ้าชายน้อยได้รู้จักพระเทวทัต ถูกพระเทวทัตล้างสมองให้เห็นผิดเป็นชอบ จนจับพระเจ้าพิมพิสารขังคุกให้อดพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จเดินจงกรมยังชีพอยู่ในคุกได้ด้วยพระพุทธานุสสติ คือ มองลอดช่องหน้าต่างทอดพระเนตรดูพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นลงเขาคิชฌกูฏพร้อมภิกษุสงฆ์ทุกวัน เมื่อรู้ว่าเสด็จพ่อยังเดินอยู่ได้ กษัตริย์อกตัญญูก็สั่งให้เอามีดโกนเฉือนพระบาทเอาเกลือทา ย่างด้วยถ่านไฟร้อน พระเจ้าพิมพิสารทนทุกขเวทนาไม่ไหวก็สิ้นพระชนม์ ณ ที่คุกขังนั้นแล
พระเจ้าพิมพิสารเป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ทำให้พระพุทธศาสนาหยั่งรากลงในแคว้นมคธและเจริญแพร่หลายชั่วระยะเวลาอันรวดเร็ว ชาวพุทธจึงควรระลึกถึงพระคุณของพระองค์ในข้อนี้
ที่มา
http://www.bp-smakom.org/BP_School/Social/budda/pim-pi-sarn.htm_____________________________________________________________
ตอบปัญหาเรื่องการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลครับคำถาม
ครับผม ผมเรียนถามหลวงพี่เรื่องนึงครับ เรื่องการกรวดน้ำ
การที่ผมตักบาตรให้กับพ่อผม บางครั้งผมก็กรวดน้ำ บางครั้งผมก็ไม่ได้กรวด
พ่อผมจะได้สิ่งที่ผมทำบุญไปให้หรือเปล่าครับ
คำตอบ
ตอบช้าหน่อยครับ พอดีไปงานศพมา โยมแม่ของพระที่วัดเสียชีวิตครับ ก็พอดีกันกับที่โยมถามเรื่องการกรวดน้ำครับ ก็จะไขข้อข้องใจดังนี้ครับ
การกรวดน้ำ หรือตรวจน้ำ เริ่มมาจาก พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เลื่อมใสในพระศาสดา ได้ทำบุญเป็นอันมาก ตกตอนกลางคืนพระองค์เห็นฝูงเปรต มาร้องโหยหวน น่ากลัวมาก จึงทูลถามพระตถาคต ได้ความว่า เปรต นั้นเป็นอดีตญาติ ๆ ของพระเจ้าพิมพิสาร ต้องเกิดเป็นเปรตเพราะกรรมที่เคยกิน หรือให้กินอาหารที่เตรียมไว้ถวายพระ มาขอแบ่งส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารทรงประกอบในชาตินี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารไม่ได้กรวดน้ำให้ พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงกรวดน้ำพร้อมกับตรัสพระคาถาที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ ญาตโย" เปรตเหล่านั้นได้อนุโมทนาและได้กลายเป็นเทวดามีอาหาร อาภรณ์ ปราสาท ทิพย์ เสวยสุขกันถ้วนหน้า ( นี่เล่าอย่าง ย่อ ๆ นะครับ คลิ๊กดูหัวข้อในพระไตรปิฏก )
สำหรับการอุทิศส่วนกุศลจะสำเร็จต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนี้ครับ
๑. มีบุญกุศลให้อุทิศ-ต้องทำความดีก่อนครับ
๒. มีผู้รับผลบุญ-ผู้ที่จะรับผลบุญได้ ต้องเป็นเปรตชนิด ปรตูปชีวีเปรต เท่านั้นครับ อ้าวแล้วถ้าญาติเราไม่เป็นเปรตละ? ต้องมีครับ ตลอดวัฏฏะอันแสนนาน เราต้องมีญาติอย่างน้อยสักคนที่เป็นเปรตละครับ
๓. มีการอุทิศให้-ก็กรวดน้ำ จะกรวดแห้งก็ได้ครับ-ตั้งจิตอธิษฐานเอา-ระบุชื่อผู้รับก็ได้-โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ชอบระบุชื่อครับ มักจะว่า ให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด เผื่อญาติที่เราไม่รู้ชื่อด้วยไงครับ
๔. เปรตนั้นรู้ และยินดีด้วยกับบุญที่เราทำและอุทิศให้ด้วยครับ จึงจะได้ผล
แล้วถ้าบังเอิญขาดข้อใดข้อหนึ่งหล่ะ ? บุญตีกลับ เหมือนจดหมายตีกลับเพราะไม่มีผู้รับ หรือจ่าหน้าซองไม่ชัดเจนครับ รับรองว่าบุญไม่หายไปไหน อย่างไรก็อยู่ที่คนทำอยู่แล้ว
ถ้าอุทิศให้เขาหมดเราจะเหลืออะไรเล่า ? ไม่เหมือนให้ของ ให้แล้วหมด แต่การอุทิศส่วนกุศลเหมือนการต่อเทียน ต่อ ๆ กัน ๑ เล่ม เป็น ๒ เป็น๔..๘..๑๖..๓๒.. เป็น mega เป็น giga ครับ ยิ่งให้ยิ่งสว่างครับ
ถ้าลืมละ ? กรวดย้อนหลังครับ พยายามนึกถึงบุญที่เราได้กระทำ แล้วเลื่อนเมาส์ขึ้นไปคลิ๊ก play ที่เครื่องเล่นด้านบน ๆ ได้เลยครับ ใส่บทสวดอนุโมทนาและให้พรไว้แล้ว หรือถ้าไม่สะดวกก็ระลึก อธิษฐานเป็นภาษาไทยก็ได้ครับ คำบาลีไว้ให้พวกมหาเขาว่ากันเถอะครับ เราเอาใจความพอแล้ว ว่าอย่างนี้ครับ "ขอบุญนี้จงเกิดแก่ญาติ ๆ ของข้าพเจ้า ขอให้ญาติ ๆ ของข้าพเจ้ามีความสุข" นี่แปลมาจากบทที่พระตถาคตทรงสอนพรเจ้าพิมพิสารครับ
อย่างไรก็ตามการกรวดน้ำย้อนหลังอาจไม่ได้ผลแรงเท่าสด ๆ ร้อน ๆ นะครับ ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตที่ผ่องใสครับ ทำบุญใหม่ ๆ สด ๆ จิตจะใสมากครับ
เอาละครับ ถามนิดเดียว ตอบซะยาวยืดเลยเรา ( น้ำลายแตกฟอง ) ถ้าสงสัยอะไรก็ถามกันมานะครับ สาธุ
เพิ่มเติมครับ
มีความเห็นจากพระแทน กิตฺติทตฺโต ว่า
tan พูดว่า:
หลวงพี่เข้าไปอ่านเรื่องกรวดน้ำแล้ว ขอโอกาสแสดงความเห็นด้วยครับ
สำคัญที่สุด คือ จิต
แผ่กุศล กรวดน้ำ กรวดแห้ง ได้เช่นกัน เอ่ยยังไงก็ได้ แต่ตั้งจิตให้มั่น ให้แผ่ออกไป
แล้วจะรู้สึกได้ถึงกระแสบุญที่ไหลออกไป
คำภาวนา และ การเทน้ำ เป็นเพียงอุบายเหนี่ยวนำจิต
หลวงปู่หล้าว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงทั้ง 84000 ย่อเหลือจิตเพียงอย่างเดียว
หลวงปู่ดุลย์ ว่า จิตคือพุทธะ
พระครูเกษม ว่า เจอจิต จึงจะแจ้งธรรม
สาธุ สาธุ
ที่มา
http://maha-oath.spaces.live.com/blog/cns!6D66525A182F717E!374.entry
___________________________________________
กรวดน้ำ เนื้อความ :
ไปทำบุญวันเกิดมาค่ะ สงสัยว่า ทำไมตอนกรวดน้ำเสร็จแล้ว
พระท่านถึงไม่ให้ไปเทที่ต้นไม้ แต่ท่านเทใส่กระบอก อีกอันนึงข้างตัวท่าน เลยงงๆค่ะ แล้วอย่างงี้ผลบุญจะส่งถึงเจ้ากรรมนายเวรรึเปล่า
จากคุณ : บุษ [ 28 ก.ย. 2543 / 13:27:29 น. ]
ความคิดเห็นที่ 1 : (4)
การกรวดน้ำจริงๆแล้วเป็นพิธีของพราหมณ์ ตามพุทธพิธีเพียงแค่เรากล่าว
และนึกอุทิศก็พอแล้ว ใช้ได้
จากคุณ : 4 [ 28 ก.ย. 2543 / 14:46:00 น. ]
ความคิดเห็นที่ 2 : (ศิษย์โง่เรียนเซ็น)
ไม่ถึงหรอกครับ
บุญถูกขังไว้ในกระบอกแล้วล่ะ
แต่ถ้าไปเทที่ต้นไม้ ก็ถูกต้นไม้ดูดเอาไปกินอยู่ดีแหละครับ
จากคุณ : ศิษย์โง่เรียนเซ็น [ 28 ก.ย. 2543 / 19:20:15 น. ]
ความคิดเห็นที่ 3 : (สาธิต)
พุทธ กับพราห์มนั้นแทบจะแยกไม่ออกเลยจริงๆ ครับ คุณลอง search ในพระไตรปิฎกดูนะครับ ไม่เคยมีกล่าวถึงคำว่ากรวดน้ำเลย การทำบุญอุทิศส่วนกุศลด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จึงไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำครับ ขอแนะนำธรรมะเพื่อชีวิตใน web site
http://easy.to/alternative ครับ คุณจะได้ทราบอีกหลายๆ เรื่องที่ชาวพุทธไม่เคยทราบมาก่อน
จากคุณ : สาธิต [ 29 ก.ย. 2543 / 06:23:23 น. ]
ความคิดเห็นที่ 4 : (ดังตฤณ)
น้ำเป็นสื่อครับสำหรับคนทั่วไป
ถ้าจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งได้ ก็มีกำลังเป็นกระแสแรงพอจะถึงตัวได้
แต่ให้คนทั่วไปซึ่งยังมีจิตไม่ตั้งมั่นคิดอุทิศนั้น
มโนภาพของเป้าหมายไม่ชัดพอ เลยต้องอาศัยสื่อ
ซึ่งก็ไม่มีอะไรดีกว่าธาตุน้ำ อันเป็นธาตุเย็น
และจูงใจให้เย็น มีอาการไหลลงสู่เป้าหมายเช่นพื้นที่ถูกน้ำกระทบ
พูดกันตรงไปตรงมา เป็นไปได้ยากครับ
ที่อุทิศบุญกุศลให้คนตายแล้วจะถึงเจ้าตัว
แต่บุญอันเกิดจากการอุทิศอย่างหนักแน่น อันนั้นแหละ
เกิดกับเราจริง จัดเป็นทานชนิดหนึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดใจให้กว้างออก
ไม่คับแคบ ไม่อึดอัดตระหนี่
ความรู้จักให้นั้นแหละเป็นความสุขชนิดหนึ่ง
เป็นการระงับเหตุแห่งทุกข์ขั้นพื้นฐานได้อย่างหนึ่ง
จากคุณ : ดังตฤณ [ 29 ก.ย. 2543 / 16:41:18 น. ]
ความคิดเห็นที่ 5 : (เณรน้อย)
สมัย ก่อน......ก่อนพระผู้มีพระภาคจะตรัสรู้นั้น ลัทธิต่างๆกำลังเกิดขึ้นมากโดยเฉพาะ ลัทธิพราหมณ์ ที่ไม่สามารถแยกออกจากพระพุทธศาสนาได้ และการให้ของหรือให้ทานในลัทธิพราหมณ์นั้น เขาถือว่าต้องเทน้ำลงพื้นดินจึงถือว่าของที่ให้นั้นได้ขาดจากเจ้าของโดย สมบูรณ์ และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้ว ประเพณีการเทน้ำยังมีอยู่ และพระผู้มีพระภาคก็ไม่ได้ทรงตำหนิแต่อย่างใด ทรงอณุโลมให้เป็นตามที่เคยปฏิบัติมา แต่ท่านทรงตรัสว่าการอุทิศส่วนกุศล ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำแต่อย่างไร เมื่อทำบุญแล้วเพียงแต่นึกถึงผู้ที่จะอุทิศให้ ก็น่าจะถึงแล้ว หากผู้ที่เราอุทิศให้อยู่ในฐานะที่จะรับได้ครับ ขอให้สบายใจได้หากไม่สบายใจก็ทำใหม่แล้วอุทิศใหม่ก็ไม่เป็นไร
จากคุณ : เณรน้อย [ 29 ก.ย. 2543 / 17:22:22 น. ]
ความคิดเห็นที่ 6 : (ดังตฤณ)
ถ้าทำบุญอุทิศแล้ว เทวดา พรหมที่มีญาณหยั่งรู้
ประกอบกับการอุทิศมีแรงสะเทือนพอ ก็อาจสะกิดให้ส่งใจอนุโมทนา
และเอาเท่าที่หามาให้ได้แบบเร็วๆนะครับ
เปรตบางประเภทสามารถอนุโมทนาบุญได้เช่นกัน
ถ้ามีแต่การอุทิศ แต่ปราศจากการยินดีอนุโมทนา
ผลก็ไม่บังเกิด (ความจริงมีเรื่องเปรตที่เป็นญาติพระเจ้าพิมพิสารรอรับส่วนบุญ
แต่หาไม่เจอในตอนนี้ครับ)
------------------------------------------------------------------------
๕. ติโรกุฑฑเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุพกรรมของเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร
พระผู้มีพระภาคตรัสกะพระเจ้าพิมพิสารว่า
[๙๐] เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตนแล้ว ยืนอยู่ภายนอกฝาที่ตรอก
กำแพง และทาง ๓ แพร่ง และยืนอยู่ที่ใกล้บานประตู เมื่อข้าว น้ำ
ของกิน ของบริโภคเป็นอันมากเขาเข้าไปตั้งไว้แล้ว แต่ญาติไรๆ ของ
สัตว์เหล่านั้นระลึกไม่ได้ เพราะกรรมเป็นปัจจัย เหล่าชนผู้อนุเคราะห์
ย่อมให้น้ำและโภชนะอันสะอาด ประณีตสมควรแก่ญาติทั้งหลายตามกาล
ดุจทานที่มหาบพิตรทรงถวายแล้วฉะนั้น ด้วยเจตนาอุทิศว่า ขอทานนี้แล
จงสำเร็จผลแก่ญาติทั้งหลายของเรา ขอญาติทั้งหลายของเราจงเป็นสุข
เถิด ส่วนเปรตผู้เป็นญาติเหล่านั้น พากันมาชุมในที่นั้น เมื่อข้าว
และน้ำมีอยู่บริบูรณ์ ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพว่า เราได้สมบัติเพราะ
เหตุแห่งญาติเหล่าใด ขอญาติของเราเหล่านั้น จงมีชีวิตอยู่ยืนนาน
การบูชาเป็นอันพวกญาติได้ทำแล้วแก่เราทั้งหลาย และญาติทั้งหลายผู้ให้
ก็ไม่ไร้ผล เพราะในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ไม่มีโครักขกรรม ไม่
มีการค้าขายเช่นนั้น ไม่มีการซื้อการขายด้วยเงิน เปรตทั้งหลายผู้ไปใน
ปิตติวิสัย ย่อมเยียวยาอัตภาพด้วยทานที่ญาติหรือมิตรให้แล้วแต่มนุษย-
โลกนี้ น้ำฝนอันตกลงในที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานอัน
ญาติหรือมิตรให้แล้วในมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลาย
ฉันนั้นเหมือนกัน ห้วงน้ำใหญ่เต็มแล้ว ย่อมยังสาครให้เต็มเปี่ยม
ฉันใด ทานอันญาติหรือมิตรให้แล้ว แต่มนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผล
แก่เปรตทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน กุลบุตรเมื่อระลึกถึงอุปการะที่ท่าน
ทำแล้วในกาลก่อนว่า ญาติมิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา ได้ช่วย
ทำกิจของเรา ดังนี้ พึงให้ทักษิณาแก่เปรตทั้งหลาย ความเศร้าโศก
หรือความร่ำไรอย่างอื่น ไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น
ไม่เป็นประโยชน์แก่เปรตทั้งหลาย ญาติทั้งหลายย่อมดำรงอยู่โดยปกติ
ธรรมดา อันทักษิณานี้แลที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ ให้แล้ว ย่อม
สำเร็จประโยชน์แก่เปรตนั้นโดยพลัน สิ้นกาลนาน ญาติธรรมมหาพิตร
ได้แสดงให้ปรากฏแล้ว การบูชาอันยิ่งเพื่อเปรตทั้งหลาย มหาพิตรทรง
ทำแล้ว และกำลังกายมหาบพิตรได้เพิ่มให้แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว บุญมี
ประมาณไม่น้อยมหาบพิตรได้ทรงขวนขวายแล้ว.
จบ ติโรกุฑฑเปตวัตถุที่ ๕.
จากคุณ : ดังตฤณ [ 29 ก.ย. 2543 / 21:19:12 น. ]