ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 20 ปีกฐินพระราชทาน เชื่อมสัมพันธ์ไทย-ลาว แนบแน่น เปิดประตูม่วนซื่น! สู่เออีซี  (อ่าน 1336 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


20 ปีกฐินพระราชทาน เชื่อมสัมพันธ์ไทย-ลาว แนบแน่น เปิดประตูม่วนซื่น! สู่เออีซี

นับจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยือน สปป.ลาวเป็น ครั้งสุดท้ายเมื่อ 8-9 เมษายน 2537 ปีถัดมา พ.ศ.2538 พล.อ.ศิริ  ทิวะพันธ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ก็ได้นำกฐินพระราชทานไปทอดถวายยังวัดพระธาตุหลวงเหนือ นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว เป็นครั้งแรก

(จากศรัทธาของชาวบ้าน)


จนถึงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่  24-25 ตุลาคม 2557 ที่  ดร.วีรพงษ์  รามางกูร   ในฐานะนายกสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ นำกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดสีสุมังคะราราม  เมืองวังเวียง  แขวงเวียงจันทร์  ก็นับเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 20 ปีแล้ว ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้ร่วมกับสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ  สานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่นับว่าใกล้ชิดที่สุดอย่างสปป.ลาว ผ่านประเพณีทอดกฐิน  อันเป็นจุดร่วมในศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาร่วมกัน  แต่ที่มีนัยอันสำคัญยิ่งก็ตรงที่ทุกๆปีจะเป็นกฐินพระราชทานจาก”เจ้ามหาชีวิต”ของประเทศไทยที่ประชาชนลาวจดจ่อรอคอย

(ขบวนกฐิน)

มีเฉพาะเพียงวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2541 เท่านั้นที่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จถวายผ้าพระกฐินพระราชทานด้วยพระองค์เอง ที่วัดแสนสุขาราม เมืองหลวงพระบาง อันเป็นหนึ่งในโครงการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน 9 ประเทศ ในวโรกาศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา

สิ่งที่น่าประทับใจและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในเชิงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งคือแม้เวลาจะล่วงผ่านไปจนใกล้ที่ 10 ประเทศในอาเซี่ยนจะเข้ามาร่วมเป็นเออีซี  แต่บรรยากาศอันอบอุ่น อบอวลไปด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาร่วมกันระหว่างไทย-ลาวก็ยังคงชื่นมื่นไม่เสื่อมคลาย


(ฟ้อนต้อนรับจากสาวไทยพวน)

นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านจำนวนมากตามชุมชนสองข้างทางจากเวียงจันทร์ไปวังเวียง ต่างรอคอยขบวนรถของคณะ เพื่อหวังจะได้ร่วมบุญกฐินนี้ด้วย หลายคนที่ไม่รู้กำหนดการ  พลันที่ขบวนผ่าน ก็พากันวิ่งหา”ผ้าเบี่ยง”มาพาดไหล่ ถวายปัจจัยและข้าวของมากับคณะ  เป็นภาพประทับใจที่ใครเห็นก็ต้องปลื้ม

(พิธีคบงัน)

ดังนั้น กว่าจะล่วงเข้าเขตวังเวียง เมืองท่องเที่ยวที่มีทัศนียภาพงดงามจากเขาหินปูนละม้ายคล้ายกุ้ยหลินของจีน ก็เริ่มใกล้ค่ำ แต่ยิ่งใกล้ถึงวัด สองข้างทางก็ยิ่งเต็มไปด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษา ที่รอต้อนรับคณะอย่างเนืองแน่น  สร้างความประทับใจให้บรรดานักท่องเที่ยวที่พยายามมีส่วนร่วม แม้จะไม่เข้าใจความหมายของการถวายกฐินนัก  โดยที่มีคณะสงฆ์จากวัดต่างๆในเขตเมืองวังเวียงกว่า 30 รูป เดินเท้านำขบวนเข้าสู่เขตวัดสีสุกมังคะราราม ที่มีแม่หญิงไทยพวนจากชมรมไทยพวนปราจีนบุรีและอุดรธานี ฟ้อนต้อนรับอยู่  ก่อนที่จะเข้าสู่”พิธีคบงัน”หรือสมโภชองค์กฐินในช่วงค่ำ ท่ามกลางแสงเทียนวิบวับ

(ต่าย อรทัย ขวัญใจชาวลาว)

(แฟนคลับหนาแน่น)

จากนั้น สิ่งที่อ้ายน้องลาว รวมทั้งชาวไทยส่วนหนึ่งที่สู้อุตส่าห์ข้ามโขงมารอชมก็คือการแสดงดนตรีสมโภชกฐินในช่วงค่ำไปดึก ที่ปีนี้ดาราที่เป็นแรงดึงดูดคนสำคัญ คือ ต่าย อรทัย ที่จัดเต็มมาทั้งเพลง และทีมแดนเซอร์สุดอลังการ  ประเมินด้วยตา คร่าวๆ คาดว่าคืนนั้นคนวังเวียงและคนต่างถิ่นที่มาดูการแสดงของเธอไม่น่าต่ำกว่า 2 หมื่น เต็มลานการแสดงที่เป็นสนามบินเก่า


(แม่หญิงลาวรอตักบาตร)

รุ่งขึ้นหลังจากพิธีตักบาตรในช่วงเช้าแล้ว ก็เข้าสู่พิธีหลักของการถวายพระผ้าพระกฐิน ที่มีดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานฝ่ายไทย และศ.ดร.บ่อแสงคำ วงดาลา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในฐานะประธานสมาคมลาว-ไทยเพื่อมิตรภาพเป็นประธานฝ่าย สปป.ลาว  มีคณะทูตและประชาชนของทั้ง 2 ฝ่ายเข้าร่วมพร้อมเพรียง โดยพิธีการที่ยังคงรักษารูปแบบวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าสปป.ลาวจะเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมมาแล้วถึง 40 ปี  เบ็ดเสร็จปีนี้คณะกฐินได้ยอดเงินถวายวัดเกือบครึ่งล้านบาท

(ถวายผ้าพระกฐินปีที่ 20)

แม้ผ่านมา 20 ปี แต่ก็เขื่อว่าระหว่าง 2 ประเทศนี้ จะยังคงมีกฐินพระราขทานมาเขื่อมความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นลึกซึ้งไปอีกยาวนาน

หมายเหตุ  : ภาพจากเฟซบุ๊ค สมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ (Thai-Lao Association for Friendship)


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1415260244
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ