ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : การเข้าถึงสมาธิ  (อ่าน 2280 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29307
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : การเข้าถึงสมาธิ
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2015, 08:35:00 pm »
0


สมาธิชาวบ้าน : การเข้าถึงสมาธิ

     การทำสมาธิไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ถึงกับยาก แต่ก็ไม่ถึงกับง่ายมาก ที่ว่าไม่ถึงกับยาก เพราะต้องมีความตั้งใจ การจะทำสมาธิอย่างแรกต้องหยุดคุยกันอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง ถ้าสอนสมาธิไปแล้ว ผู้ปฏิบัติยังมีเรื่องคุยกันไม่จบ ย่อมไม่สามารถสอนได้ ถ้าจะทำต้องหยุดสนทนากันก่อน แล้วจึงกลับมาพูดกันหลังจากนั้นได้

     สมาธิเป็นเรื่องการอบรมจิตให้ปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กายต่างๆ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเรื่องจิตได้ เรื่องจิตเป็นสิ่งที่ต้องอบรมผสานกับร่างกาย โดยร่างกายต้องอยู่ในท่าทีที่อบรมได้ ถ้าอยู่ในท่าทีที่อบรมไม่ได้ก็ไม่มีหนทางเข้าถึงสมาธิ

     ดังนั้นการที่ทำสมาธิต้องอยู่ในอาการที่ช่วยให้เข้าสู่ความสงบ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย แม้กระทั่งใจ ความคิดให้อยู่ในอาการสงบที่จะรับสมาธิ จะดูหนังฟังเพลง มันก็อบรมใจไม่ได้ หรือนั่งไม่เป็นสุข นั่งไม่นิ่งก็อบรมไม่ได้ ทุกอย่างที่เป็นของหยาบให้เราหยุดสิ่งเหล่านั้นก่อน เช่น นั่งให้นิ่งๆ นิ่งได้แล้วจะอบรมของหยาบได้ แล้วก็อบรมของละเอียดภายใน เราจะได้เข้าถึงจิตที่เป็นนามธรรมที่มันรู้อยู่ข้างในกายสังขารเรา ที่มันรู้ต่างๆ รู้รัก รู้ชอบ รู้เกลียด รู้ต่างๆ นี้ให้เราไปถึงมันให้ได้ก่อน อบรมไปเพื่อว่าเข้าไปรู้จัก รู้ว่ารู้นี้อยู่ภายในตัวเรา นี่คือตัวเรา คือธาตุรู้
ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้หาวิธีการต่างๆ เพื่อจะเข้าไปถึงธาตุรู้ได้เหมือนกัน


      st12 st12 st12 st12

     ครูบาอาจารย์ต่างใช้ความพากเพียรปฏิบัติด้วยวิธีการต่างๆ เพื่ออบรมกาย อบรมใจไปถึงในสิ่งที่เป็นความรู้ภายใน ว่าทำไม รู้รัก รู้ชอบ รู้เกลียด รู้ชัง รู้อะไรต่างๆ มันรู้มันอยู่ตรงไหน มันเป็นส่วนอะไรของร่างกายเรา มันตั้งอยู่ตรงไหน อยู่ที่ใจ อยู่ที่สมอง อยู่ที่ลิ้นปี่ หรืออยู่ตรงไหน ทั้งๆ ที่รู้นี้ไม่มีที่ตั้งภายในร่างกายเรา รู้มันเป็นอาการที่ซ้อนอยู่ในกายสังขารนี้ อาศัยระบบประสาทของร่างกายเป็นตัวเชื่อม

     แต่ว่าร่างกายก็ไม่ใช่สิ่งที่รู้ เป็นสิ่งที่ส่งสัญญาณไปให้รู้มันรู้ อย่างหูได้ยินเสียง หูก็ไม่ใช่รู้ แต่หูเป็นอุปกรณ์ส่งไปให้รู้ ตาเห็นรูป ตาก็ไม่ใช่รู้ แต่ตาเป็นอุปกรณ์ที่ส่งความเห็นทางสายตาไปให้รู้ รู้จึงตั้งอยู่นอกเหนือจากกายสังขารทั้งหลาย ไม่มีมิติที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่มันส่งไปอีกที่หนึ่ง ราวกับว่ามันซ่อนอยู่ภายในกายเรา หรือว่าเป็นกายทิพย์ รู้มันอยู่ตรงนั้น หูก็ส่งสัญญาณไป แต่วิญญาณตัดสิน รู้ไม่ได้อยู่ที่หู แต่หูส่งสัญญาณถึงจิตไป ส่งไปให้รู้ รู้เป็นตัวตัดสินใจว่า สิ่งที่ได้ยินนั้นชอบใจหรือไม่ชอบใจ พอใจ ไม่พอใจ หูไม่ได้ตัดสินว่าสิ่งนั้นไพเราะ ไม่ไพเราะ ดี ไม่ดี หูเพียงแต่ส่งไปที่หนึ่ง รู้รับสัญญาณนั้นแล้วก็รู้เป็นคนตัดสินว่าชอบ ไม่ชอบ

      :96: :96: :96: :96:

     ดังนั้นการรู้ จึงอยู่ลึกๆ ภายในกายเรา กายเรามีจุดต่อเชื่อมที่จะข้ามไปยังความละเอียด เหมือนสะพานเป็นจุดต่อเชื่อม ถ้าใช้สมาธิเพ่งลงไปจะเห็นเป็นใยบัวเส้นบางๆ ต่อเชื่อมระหว่างความหยาบกับความละเอียด ในสายใยบัวที่เชื่อม ถ้ายังเชื่อมอยู่จะผนึกระหว่างโลกกับปรโลกและกายกับจิตไว้ด้วยกัน ส่งสัญญาณสืบเนื่องกันเป็นสะพานเชื่อมโยงไป สิ่งต่างๆ ที่ผ่านทางกายต่างๆ เป็นความหยาบก็ผ่านไปสู่กายละเอียดทางสายใยบัว ถ้าสายใยบัวนี้ถึงเวลาขาด ขาดจากกัน สัญญาณจิตที่มันส่งไป มันก็จะขาดจากกัน มันก็จะส่งไปไม่ถึง พอขาดไปแล้ว จิตกับกายก็จะโดนตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง กายไม่สามารถส่งสัญญาณไปสู่จิตรู้ได้ จะเอากายนี้ไปผ่า ไปตัด ไปเผา ไปทำอะไร ก็ส่งสัญญาณไปไม่ถึงคำว่ารู้ รู้กับกายแยกกันแล้ว ภาวะนี้เรียกว่าความตาย การตายอย่างแท้จริง.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/080215/102700
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ