ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: มองเป็นเห็นธรรม : วาจาดี มีโชคชัย  (อ่าน 2541 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29302
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
มองเป็นเห็นธรรม : วาจาดี มีโชคชัย
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2015, 08:23:29 pm »
0


มองเป็นเห็นธรรม : วาจาดี มีโชคชัย

“คำพูดที่กล่าวออกไป หลังจากที่ได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างกว้างขวางและรอบคอบแล้ว ย่อมถือเป็นสัจวาจา ที่แสดงถึงความตั้งใจจริงที่บุคคลตั้งไว้แก่ตัวและผู้อื่น ผู้พูดจึงผูกพันบังคับตัวเองให้มั่นอยู่ในสัจวาจานั้น
       
       สิ่งใดที่พูดว่าจะทำหรือจะงดเว้น ต้องทำให้ได้โดยเคร่งครัดและครบถ้วน หาไม่จะกลายเป็นคนกลับกลอก ไม่มีความมั่นคงในคำพูดและการกระทำ ทำให้ไม่มีผู้ไว้วางใจ ไม่อาจทำให้งาน ให้ตนเองประสบผลสำเร็จที่ดีได้
       
       ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย
       
       การพูดแล้วทำ คือพูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม”


        :96: :96: :96: :96:

       ความตอนหนึ่งใน พระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ควรที่เราทั้งหลายผู้เป็นพสกนิกรในพระองค์ จักได้ตระหนักถึงคุณค่าของวาจาที่ตนพึงมีในการสื่อสารอยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับเรื่อง “มังสชาดก” ว่าด้วย “วาทศิลป์ของคนขอ” อันมีความโดยย่อดังนี้
       
       ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐีในนครพาราณสี มีสหายที่สนิทเป็นบุตรเศรษฐีอยู่ ๓ คน นิยมนัดหมายพบปะสังสรรค์กันในที่ประชุมชนใกล้ประตูนครพาราณสี อยู่มาวันหนึ่ง มีนายพรานเนื้อคนหนึ่งได้นำเนื้อที่ล่าได้มาเป็นอันมาก บรรทุกเต็มเกวียนมายังนครพาราณสี ด้วยหวังว่าจักนำไปขาย
       
       เมื่อเขาขับเกวียนผ่านมาใกล้ถึงที่บุตรเศรษฐีนั่งสนทนากัน สหายคนหนึ่งเห็นพรานเนื้อบรรทุกเนื้อมา จึงกล่าวกับเพื่อนว่า “เราจะทำให้นายพรานนี้ มอบเนื้อแก่เรา” ว่าแล้วจึงเข้าไปหานายพรานเนื้อแล้วกล่าวว่า
       
       “เฮ้ย...พราน จงให้ชิ้นเนื้อแก่ข้าบ้าง”
       
       นายพรานเมื่อได้ยินคำพูดของเขา จึงกล่าวว่า “ธรรมดาผู้จะขออะไรๆผู้อื่น ต้องเป็นผู้มีคำพูดอันเป็นที่น่ารัก วาจาของท่านหยาบคายจริงหนอ ท่านขอเนื้อ แต่วาจาของท่านดังเช่นพังผืด ดูก่อนสหาย เราจะให้พังผืดแก่ท่าน” แล้วนายพรานก็ยกชิ้นเนื้อพังผืดอันไม่มีรสให้บุตรเศรษฐีไป


        :41: :41: :41: :41:

       เมื่อเขานำเนื้อพังผืดกลับไปหาเพื่อน สหายคนที่สองก็ถามขึ้นว่า “ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ” สหายคนนั้นกล่าวว่า “เราพูดว่าเฮ้ย แล้วจึงขอ” สหายคนที่สองจึงกล่าวว่า “เราจักขอเขาดูบ้าง”
       
       แล้วสหายคนที่สองก็กล่าวกับนายพรานเนื้อว่า “พี่ชาย.. ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง”
       
       นายพรานกล่าวว่า “คำว่า พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงนี้ เป็นเช่นกับอวัยวะของมนุษย์ทั้งหลาย อันเขากล่าวกันอยู่ในโลก วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ ดูก่อนสหาย เราจะให้ชิ้นเนื้ออวัยวะแก่ท่าน” แล้วนายพรานก็ตัดเนื้ออันเป็นอวัยวะส่วนประกอบให้แก่เขา
       
       เมื่อสหายคนที่สองถือเนื้ออันเป็นอวัยวะกลับมายังกลุ่มเพื่อน สหายคนที่สามก็ถามว่า “ท่านพูดว่าอย่างไรแล้วจึงขอ” สหายคนที่สองกล่าวว่า “เราพูดว่าพี่ชาย แล้วจึงขอ” สหายคนที่สามจึงว่า “เราจะลองขอดูบ้าง”
       
       แล้วสหายคนที่สามก็กล่าวกับนายพรานว่า “ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง”


        :49: :49: :49: :49:

       นายพรานกล่าวว่า “บุตรเรียกบิดาว่าพ่อ ย่อมทำให้หัวใจของพ่อหวั่นไหว วาจาของท่านเช่นกับหัวใจ ดูก่อนสหาย เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่าน” แล้วนายพรานก็ตัดเนื้ออันอร่อยพร้อมกับเนื้อหัวใจให้เขา
       
       เมื่อสหายคนที่สามถือเนื้ออร่อยพร้อมกับเนื้อหัวใจกลับมายังกลุ่มเพื่อน บุตรเศรษฐีผู้เป็นโพธิสัตว์ก็ถามว่า “ท่านพูดว่ากระไรแล้วจึงขอ” เขากล่าวว่า “เราพูดว่าพ่อ แล้วจึงขอ” บุตรเศรษฐีผู้เป็นโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า “เราจะลองดูบ้าง”
       
       แล้วบุตรเศรษฐีผู้เป็นโพธิสัตว์ก็กล่าวกับนายพรานเนื้อว่า “สหาย.. ท่านจงให้ชิ้นเนื้อแก่ฉันบ้าง”
       
       นายพรานกล่าวว่า “ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านของผู้นั้นก็เป็นเหมือนกับป่า วาจาของท่านเป็นเช่นกับสมบัติทั้งมวล ดูก่อนสหาย เราจะให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน มาเถิดสหาย ข้าพเจ้าจักนำเกวียนบรรทุกเนื้อนี้ทั้งหมดทีเดียวไปยังบ้านของท่าน”


        st12 st12 st12 st12

       บุตรเศรษฐีผู้เป็นโพธิสัตว์ จึงให้นายพรานนั้นขับเกวียนไปยังเรือนของตน แล้วให้ขนเนื้อลง กระทำสักการะสัมมานะแก่นายพราน (ประกอบพิธีการยอมรับนับถือนายพรานเป็นสหาย) ให้เรียกบุตรและภรรยาของนายพรานมา แล้วให้เลิกจากกรรมอันหยาบช้า ให้อยู่ในท่ามกลางกองทรัพย์สมบัติของตน เป็นสหายที่แน่นแฟ้นกับนายพรานนั้น อยู่สมัครสมานกันจนตลอดชีวิต
       
       เมื่อมาพินิจในคำพูดของบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน ย่อมจะเห็นผลแห่งคำพูดที่แตกต่างกันไป จากหยาบ มาจนถึงคำพูดที่จริงใจที่สุด แต่คำพูดที่จริงใจนั้น ย่อมต้องมีการกระทำที่บริสุทธิ์ใจประกอบด้วย จึงเป็นสัจวาจาดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภในพระบรมราโชวาท ที่อัญเชิญมาเบื้องต้น
       
       บุคคลผู้สามารถกล่าวสัจวาจาได้ ย่อมเป็นผู้มั่นคงในการปฏิบัติตนอยู่กรอบของศีลข้อที่ ๔ คือ เว้นจากการกล่าวคำเท็จ คือเป็นคนที่มีปกติเว้นจากการพูดปด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด ด้วยมีจิตใจมั่นคงในธรรมข้อ ความเป็นผู้มีสัตย์ อันประกอบด้วย

        ans1 ans1 ans1 ans1

       ๑. เป็นผู้ไม่ทำกิจการให้ผิดด้วยอำนาจอคติ ๔ คือ
           ๑.๑ ฉันทาคติ ถึงความลำเอียงเพราะความชอบใจ
           ๑.๒ โทสาคติ ถึงความลำเอียงเพราะเกลียดชัง
           ๑.๓ โมหาคติ ถึงความลำเอียงเพราะหลงไม่รู้ทัน
           ๑.๔ ภยาคติ ถึงความลำเอียงเพราะกลัว   
   
       ๒. ความซื่อตรง คือ ความซื่อตรงต่อบุคคลที่เป็นมิตร เมื่อตนได้รับผูกไมตรีกับผู้ใดแล้ว ก็ไม่คิดร้ายแก่ผู้นั้น พึงเว้นจากโทษ ๔ คือ
           ๒.๑ ปอกลอกเพื่อน
           ๒.๒ ดีแต่พูด (มีวาจาปราศรัย ไม่สงเคราะห์จริง)
           ๒.๓ ประจบสอพลอ
           ๒.๔ ชักชวนในทางฉิบหาย
      และพึงประกอบด้วยคุณ ๔ สถาน คือ
           ๒.๕ อุปการะเพื่อน
           ๒.๖ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
           ๒.๗ คอยตักเตือนให้สติแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์
           ๒.๘ มีความรักใคร่กันจริง
   
       ๓. สวามิภักดิ์ คือ ความจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน เมื่อยอมยกให้ใครเป็นเจ้านายของตนแล้ว ก็ประพฤติซื่อสัตย์ต่อคนนั้น มีใจจงรักภักดี เป็นกำลังในการงานทุกอย่าง และป้องกันอันตราย เมื่อถึงเวลาก็อาจสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่เจ้านายของตนได้     
 
       ๔. ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการะที่ท่านได้ทำแล้วแก่ตน คู่กับกตเวที คือ การตอบแทนให้ทราบว่าตนรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว หมายเอาเฉพาะแต่ว่า บุคคลได้รับอุปการะเช่นนั้นจากท่านใดแล้วยกย่องท่านผู้นั้น ตั้งไว้ในที่ผู้มีคุณ เช่น บิดา มารดา ครู อาจารย์ เจ้านาย เป็นต้น ไม่แสดงอาการลบหลู่ดูหมิ่นและยกตนเทียมท่าน

       
        st11 st11 st11 st11

       บุคคลผู้ดำรงตนมั่นในสัจวาจา ย่อมเป็นบุคคลผู้มีอินทรีย์ผ่องใส มีวาจาไพเราะสละสลวย มีถ้อยคำที่บุคคลเชื่อได้ มีบริวารล้วนแต่ขยันขันแข็ง เมื่ออยู่ในตำแหน่งหน้าที่ใด ก็ได้รับการยกย่องสนับสนุนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำประสิทธิผลให้เกิดขึ้นแก่องค์กรที่ตนเองรับผิดชอบอยู่เสมอ สมดังพระบรมราโชวาทที่พระราชไว้ว่า       
       “การพูดแล้วทำ คือพูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม”
       
       เมื่อท่านปรารถนาให้ตนเป็นคนมีโชคดีเป็นนิตย์ ก็พึงกล่าววาจาดี เป็นสัจวาจา เพราะผู้กล่าววาจาดี ย่อมมีโชคชัยเสมอ

       
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 170 กุมภาพันธ์ 2558 โดย พระครูพิศาลสรนาท (พจนารถ ปภาโส) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.
http://manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9580000012929
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

noobmany

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 79
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: มองเป็นเห็นธรรม : วาจาดี มีโชคชัย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2015, 10:25:21 am »
0
สุนทรภู่ กล่าวถึงบ้านบางพูดไว้ในนิราศภูเขาทองว่า

“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์     มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร   จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา”

  st11 st12 st12 thk56
บันทึกการเข้า