ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ยก 'วัดเหมอัศวาราม' เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน  (อ่าน 876 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29302
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พระพุทธศาสนาเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน
พระมหา ดร.ขวัญชัย กิตฺติเมธี ป.ธ.๙ กลุ่ม "เพื่อชีวิตดีงาม" สำนักงานส่งเสริมคุณธรรมฯวัดสระเกศ รายงาน

 :96: :96: :96: :96:

ผู้บริหารศาสนาระดับสูงจีนพบ'พระพรหมสิทธิ'

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมาประเทศไทย  แม้อากาศร้อน แต่ใจเราไม่ร้อนกลับร่มเย็น  เหมือนได้กลับบ้าน  มีแต่ความรักกันและความอบอุ่น... คำกล่าวของ ฯพณฯ วัง จั้ว อัน(WANG ZUO’AN) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนา ผู้บริหารสูงสุดด้านศาสนาแห่งชาติ  สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารการศาสนาแห่งชาติได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อศึกษาการบริหารคณะสงฆ์และแลกเปลี่ยนแนวคิดด้านศาสนากับคณะสงฆ์ไทย  โดยมี   "พระพรหมสิทธิ" (ธงชัย สุขญาโณ)  รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ, นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดีกรมการศาสนา(ศน.) และนายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ให้การต้อนรับ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ศาสนาจีน-ไทย  เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๓๐ น.ที่ผ่านมา

การเดินทางเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาของ ฯพณฯ วัง จั้ว อันในครั้งนี้เริ่มต้นจากอินเดีย  เนปาล  และไทยถือว่าเป็นประเทศที่ ๓  โดยท่านได้กล่าวถึงประเทศไทยว่า  ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่สำคัญอย่างยิ่งทางด้านพระพุทธศาสนา  ประเทศไทยถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของโลกก็ว่าได้   และความสัมพันธ์กันระหว่างจีนไทยนั้นก็มีมาอย่างยาวนาน  และปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีพระพุทธศาสนาเป็นส่วนสำคัญในการผสานทางวัฒนธรรมร่วมกัน

ที่จริงการพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางด้านศาสนา  เริ่มมีมาตั้งแต่ในสมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช  โดยในครั้งนั้นประธานสงฆ์จีนพร้อมด้วยผู้บริหารด้านศาสนาระดับสูงของจีนได้เดินทางมาประเทศไทย และได้มีการตกลงที่จะให้มีความร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านศาสนา ต่อมาพระพรหมสิทธิได้สืบต่อแนวคิดดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม โดยประสานให้มีความร่วมมือ ในการจัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาท-มหายาน" ขึ้นที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจะมีการแลกเปลี่ยนบุคลกรด้านศาสนาในโอกาสต่อไป

จากการปรึกษาหารือ  ผู้บริหารสูงสุดด้านศาสนาของรัฐบาลจีน  ได้กล่าวถึงการสนับสนุนต่อศาสนามากขึ้น  ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลจีนกำลังผ่อนปรนด้านศาสนา อันมีสาเหตุมาจากประชาชนชาวจีน มีความตื่นตัวด้านศาสนามาก  รัฐบาลจีนจึงเปิดโอกาสให้ประชาชนมีอิสระในการปฏิบัติกิจทางด้านศาสนา และส่งเสริมให้มีกิจกรรมด้านศาสนามากขึ้น จะเห็นได้จากการที่รัฐบาล สนับสนุนให้มีการจัดประชุมพระพุทธศาสนานานาชาติ ณ เมืองอู๋ซี  มณฑลเจียงซู ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมให้พระสงฆ์จีน  ได้แสดงออกถึงบทบาท และศักยภาพในระดับนานาชาติ  นอกจากนั้น รัฐจีนยังมีการปรับปรุงวัดและศาสนสถาน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

สิ่งที่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  คือ ที่เมืองลั่วหยาง  มณฑลเหอหนานของประเทศจีนก็มีการสร้างวัดไทยนิกายเถรวาทขึ้นเป็นแห่งแรก โดยมีชื่อว่า "วัดเหมอัศวาราม" หรือวัดม้าทอง  โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ของวัดไป๋หม่าซื่อ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดม้าขาว  อันเป็นวัดสำคัญและเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแห่งแกรของจีนที่มีอายุยาวนานเกือบ ๒,๐๐๐ ปี  หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้รายงานคำพูดของอาจารย์ยิ่นเล่อ เจ้าอาวาสวัดม้าขาวว่า  “ความสัมพันธ์ไทย-จีนเป็นเหมือนพี่กับน้อง  คนไทยชอบไปที่เมืองจีน คนจีนก็ชอบไปที่เมืองไทย ด้านกายภาพมีประเทศเป็นข้อกางกั้น แต่ในทางใจแล้วเราไม่มีประเทศขวางกั้น เพราะเรานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน”

ทั้งหมดนี้คือความพยายามที่จะสานความสัมพันธ์ผ่านทางคณะสงฆ์ทั้งเถรวาทและมหายานว่าแม้จะต่างกันในแง่การปฏิบัติตน  แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งหลักธรรมเดียวกัน นั่นคือ หลักธรรมว่าด้วยความสามัคคีของพุทธศาสนิกชนที่ไม่ได้แยกเขาแยกเรา  มีเพียงแต่หวังความสุขสงบแห่งสังคมเป็นสำคัญ


 :25: :25: :25: :25:

ความสัมพันธ์ไม่ว่าในประเทศหรือระหว่างประเทศเริ่มต้นที่ความเสียสละ

ในตอนหนึ่งระหว่างการเข้าพบ  พระพรหมสิทธิได้กล่าวว่า  ถือเป็นเกียรติที่มีโอกาสต้อนรับนายวัง จั้ว อันและคณะสงฆ์จากเมืองจีน  ขณะที่นายวัง จั้ว อันกล่าวว่า  การมาพบในครั้งนี้อาจไม่ใช่เกียรติแก่ตัวท่านเอง  แต่เป็นการให้เกียรติต่อศาสนา  และศาสนานี้เองจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

และถ้าพิจารณาจากแง่ความสัมพันธ์ของคนกับคน  จนกลายเป็นสังคม เป็นประเทศ  และจากประเทศสัมพันธ์ต่อกันกับประเทศอื่นๆ นั้นเริ่มต้นจากการเห็นอกเห็นใจกัน  พร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์แก่สังคม  ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะพบได้จากคำสอนทางศาสนาและลัทธิต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา

ยวาหรลาล เนร์รูเขียนถึงโศลกหนึ่งเป็นภาษาสันสกฤตบทในหนังสือชื่อ "โฉมหน้าประวัติศาสตร์สากล" ว่า  "ควรจะเสียสละประโยชน์สุขส่วนบุคคล  เพื่อชุมชน  และชุมชนควรจะเสียสละเพื่อประเทศชาติ"  และอีกบทคัดลอกมาจากคัมภีร์ภควตาปุราณะ (Bhagavata)  ว่า "ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะได้บัลลังก์ถึงธรรมอันสูงสุด  ที่ประกอบด้วยคุณสมบัติ  ความสมบูรณ์ทั้ง ๘ ประการ  และไม่พึงปรารถนานิพพานการสิ้นภพชาติ  ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้ารับเอาความเศร้าโศก  ความทุกข์ทรมาน  ความเดือดร้อนของสรรพสัตว์ทั้งปวง  ผู้ที่ต้องประสบกับความยากจนทนทุกข์ทรมาน  ให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าไปร่วมอยู่ในหมู่ของพวกเขาเหล่านั้น  เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้สามารถช่วยพวกเขาให้พ้นไปจากความอดอยากยากจนทนทุกข์ทรมานและโศกเศร้าทั้งมวล"

ขงจื้อปราชญ์ชาวจีนก็พูดในลักษณะเดียวกันว่า  "ปราชญ์ไม่หลบลี้หนีหน้าไปไหน  หันมาเอาใจใส่เรื่องบ้านเมือง  ช่วยกันชี้แจงแสดงวิธีการปกครองที่ดี  และกันไม่ได้ให้คนชั่วและคนไม่มีความรู้มาบริหารประเทศ"

พระพุทธศาสนาดูจะมีวิธีและปฏิบัติชัดเจนที่สุดโดยสังเกตได้ถึงการเกิดขึ้นของ "คณะสงฆ์" แม้แต่ฝรั่งเองก็ยอมรับว่าปัจจุบันสถาบันที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ก็คือ "สังฆะ"  หรือสังคมสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  และยังไม่มีสถาบันใด  องค์กรใด  ที่ยั่งยืนเท่าสงฆ์  สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้วก็ยังอยู่ได้  สาเหตุสำคัญที่ทำให้สงฆ์อยู่ได้เนื่องจากความเสียสละไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงอย่างเดียว   ดังที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายลักษณะดังกล่าวนี้ไว้ว่า  หลักวินัยถือสงฆ์เป็นใหญ่  แม้แต่พระอรหันต์ก็เคารพสงฆ์  เวลามีเรื่องของส่วนรวมเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมาเข้าร่วม  อย่างกรณีพระอรหันต์เข้านิโรธสมาบัติ  ถ้าสงฆ์เรียกเมื่อไร  ต้องออกทันที  การใดที่เป็นเรื่องของสุข  ทุกข์  หรือเกี่ยวกับความเจริญความเสื่อมเสียของส่วนรวม  จะต้องเอาใจใส่เป็นผู้นำ

ดังมีคราวหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าวางวินัยให้สงฆ์สวดปาฎิโมกข์ทุกกึ่งเดือน  พระมหากัปปินะซึ่งเป็นพระอรหันต์ผู้ใหญ่รูปหนึ่งพิจารณาว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วจะต้องไปตรวจสอบวินัยอะไรกัน  พระพุทธเจ้าเสด็จไปหาท่านด้วยพระองค์เองเลยแล้วตรัสว่า  เธอเป็นพระอรหันต์นี่แหละ  ต้องเป็นผู้นำ  ถ้าเธอไม่ทำแล้วใครจะทำ  ฉะนั้น  พระอรหันต์จึงถือประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นสำคัญ  ถ้ามีอะไรเป็นเรื่องกระทบกระเทือนเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม  พระอรหันต์ก็จะเป็นผู้นำทันที  เป็น  พระมหากัสสปะริเริ่มชวนพระอรหนัต์ทั้งหลายทำสังคายนา
   
แนวคิดเรื่องความเสียสละที่พระพุทธศาสนาและลัทธิอื่นๆ ได้กล่าวไว้จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทุกคนในโลกควรตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าวเสีย  เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยังยืนได้ต่อไป


 ans1 ans1 ans1 ans1

ก้าวต่อไปของความสัมพันธ์ไทย-จีน

ระหว่างการหารือพระพรหมสิทธิได้สอบถามถึงกรณีที่ประเทศจีนห้ามพระสงฆ์ไทยเข้าประเทศจีนที่ปรากฎอยู่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ฯพณฯ วัง จั้ว อันได้กล่าวว่า  น่าจะเป็นการเข้าใจผิดมากกว่า  เพราะรัฐบาลจีนในปัจจุบันให้อิสระต่อการนับถือศาสนาอย่างมาก  นอกจากนั้นยังให้การสนับสนุนกิจการด้านศาสนาโดยเฉพาะการมาเยือนครั้งนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับไทยในเรื่องพระพุทธศาสนามหายานในจีน-เถรวาทในไทย


และเมื่อย้อนหลังไปในอดีต  เคยมีพระผู้ใหญ่ฝ่ายมหายานได้กล่าวเมื่อประมาณ ๓๐ ปีมาแล้วว่า  พระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ใหญ่และมีสองกิ่งใหญ่ๆ  กิ่งหนึ่งเป็นเถรวาท  กิ่งหนึ่งเป็นมหายาน  แต่เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน  คือ "พระพุทธศาสนา"  และต่อมาในงานวันวิสาขาบูชานานาชาติ  ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย โดยที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๘  ใน เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์  (เกี่ยว  อุปเสโณ)  ได้กล่าวแก่ชาวพุทธทั่วโลกถึงความเป็นอันเดียวกันของผู้นับถือพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นนิกายไหนก็ตามว่า
 
"ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีพลังทุกส่วนในการที่จะนำพระพุทธศาสนาขึ้นไปสู่ความเป็นดวงประทีปแห่งโลก  และสามารถดับทุกข์ร้อนได้กลับไปยังประเทศของท่านด้วยความสวัสดี  และด้วยความชื่นใจว่าที่ประเทศไทยนี้เอง  ท่านทั้งหลายได้มีพี่น้องเกิดขึ้นแล้วจากประเทศต่างๆ ถึง ๑๔๐ ประเทศ"

ก้าวต่อไปนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่จะมอบความสว่างไสวให้แก่สังคม  เป็นที่พึ่งสำหรับผู้แสวงหาความสุขสงบ  และที่สำคัญเหนืออื่นใดทำให้สหายได้พบกับสาย  มิตรได้เจอกับมิตร  และครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง  เป็นเหมือนการกลับมาบ้าน  ที่มีแต่ความรักกันและความอบอุ่นให้แก่กัน  ตามคำกล่าวของนายวัง จั้ว อัน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150414/204699.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 14, 2015, 10:25:30 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ