ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'ภูมิคุ้มกันทางใจ' ในโลกโซเชี่ยล  (อ่าน 2555 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'ภูมิคุ้มกันทางใจ' ในโลกโซเชี่ยล
« เมื่อ: เมษายน 30, 2015, 09:47:21 am »
0


'ภูมิคุ้มกันทางใจ' ในโลกโซเชี่ยล

โซเชี่ยลมีเดีย เป็นเหมือน “เครื่องมือ” ที่เชื่อมโยงแต่ละคนไว้ให้เป็นสมาชิกของสังคมเสมือน ในความเป็นสมาชิกนั้น มีเงื่อนไขพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง คือความไม่รู้จักตัวตนแท้จริง

ความแพร่หลายของการใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านเรา ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชน หลายคนคงได้ยินคำว่า “สังคมก้มหน้า” หมายถึงสังคมที่สนใจการใช้สื่อโซเชี่ยลมีเดียมากขึ้น ก้มหน้าก้มตาอยู่แต่กับมัน เพราะความสะดวกในการเข้าถึง และเนื้อหาหลากหลาย ติดต่อใครได้ง่าย

โซเชี่ยลมีเดีย เป็นเหมือน “เครื่องมือ” ที่เชื่อมโยงแต่ละคนไว้ให้เป็นสมาชิกของสังคมเสมือน ในความเป็นสมาชิกนั้น มีเงื่อนไขพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง คือความไม่รู้จักตัวตนแท้จริง เพราะในโลกเสมือน ใครๆ ก็สามารถ “อุปโลกน์” สร้างตัวตนแบบที่ตัวเองอยากเป็นขึ้นมาได้ด้วยข้อเขียนที่ใช้สื่อสารกัน


 :49: :49: :49: :49:

ความไม่รู้จักหน้าค่าตากันนี่เอง เป็นตัวแปรของ “มารยาททางสังคม” อย่างน่าสนใจศึกษา บางคนก็ยิ่งเคร่งมารยาททางสังคมมากขึ้น เพื่อต้องการ “สร้างภาพ” ที่ตัวเองดูดีบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค บางคนกลับไม่เคร่งมารยาททางสังคมนัก อย่างที่เขาเรียกกันด้วยศัพท์แรงๆ ว่า “เกรียนคีย์บอร์ด”

ความไม่รู้จักหน้าค่าตากันในการสื่อสาร จะว่าไป มันก็มีข้อดีของมันให้เห็นอยู่บ้าง คือ มันเป็นการ “ควบคุมทางสังคมอย่างไร้วินัย” คือเป็นการควบคุมทางสังคมที่ไม่รู้ว่า เราจะถูกคนในสังคม “จับจ้องเฝ้าระวัง” เมื่อใด ทำให้ต้องมีการระมัดระวังตัว ระวังกิริยา ในการวางตัวตามสถานที่ต่างๆ

ตลอดจนการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆ ก็ต้องมีการระวัง “ลูกค้าบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค” เพราะทำอะไรผิดพลาดไปก็เป็นเงื่อนไขให้ถูกหยิบมา “ประจาน” และถูกพูดถึงในอินเทอร์เน็ตแบบไม่จบสิ้น บางครั้งก็มีคนที่เคยผ่านประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับสินค้าและบริการนั้นเข้ามา “ผสมโรง” โจมตีเข้าด้วยอีกแรง..ก็มีแต่พังกับพัง


 :96: :96: :96: :96:

ตัวอย่างการต้องเฝ้าระวังตัว เพราะผลจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คนี้ก็มีให้เห็นมากมาย อย่างกรณี “เด็กฮอร์โมน” หรือนักแสดงจากซีรีย์ฮอร์โมน ไปเต้นแร้งเต้นกาบนรถไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น แล้วกลับมาถูกกระหน่ำโจมตีทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ก็เห็นได้ถึงว่า การที่ทำกิริยาอะไรๆ ไปแล้วถูกเผยแพร่ลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ก็จะมีผลตามมา

จะเป็นผลดีหรือผลร้ายมันก็พอจะคาดเดาได้ ถ้าในกรณีที่มีการ “ละเมิด” มารยาททางสังคม เช่นกรณีเต้นบนรถไฟฟ้าที่กล่าวมา หรือไปเล่นแชทในโรงหนัง หรือเอาอาหารขึ้นไปกินบนรถไฟฟ้า ฯลฯ หากมีการละเมิดมารยาททางสังคมก็คาดเดาได้ว่า ผลตอบรับกลับมาไม่ใช่ทางบวกแน่


 :32: :32: :32: :32:

“การสอดส่องให้ต้องเฝ้าระวัง” ที่เกิดจากโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเดี๋ยวนี้มีมากขึ้น สังเกตดูก็ได้ว่า ตามฟอรั่มหรือตามเวบบอร์ดสาธารณะต่างๆ มักจะมีกระทู้เอาเรื่องนี้เรื่องโน้นมาบ่น หนักเข้าถ้ามีการถ่ายรูปได้ ก็มีการลงรูปประจาน ว่า ตานั่น แม่นี่แหละ ที่ทำตัวให้สมควรประจานให้หนัก

“การสอดส่องอย่างไร้วินัย” ทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่เรียกว่า ไร้วินัย คือเราไม่รู้ว่า เราจะถูกสอดส่อง แอบดูเมื่อไร และจะถูกนำมากล่าวถึงอย่างไร ข้อดีของมันก็พอมีอยู่บ้าง คือทำให้ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังการวางตัว สินค้าและบริการระมัดระวังเรื่องการสร้างมาตรฐานที่ดีไม่ให้ถูกนำไปด่าได้

ต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่ “เป็นเรื่อง” ขึ้นมา นอกจากมันถูกนำไป “ขยายความ” ต่อแล้ว มันยังมีลักษณะที่ว่า มันถูกบันทึกไว้ในโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คแล้ว คนที่เห็นจำได้ หรือบางทีเรียกข้อมูลย้อนหลังมาดูได้จากการสืบค้นทางเว็บไซด์พวก google


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

แต่ข้อเสียที่สำคัญของมัน คือ “การสอดส่องเฝ้าระวังโดยไม่รู้จริง” บางคนรีบแต่จะแชร์เพื่อเอาหน้า เอาสนุก หรือเอาอะไรก็ตามแต่ ทั้งที่ข้อมูลที่แชร์ออกไปนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือบางคนก็เห็นว่า การหยิบโน่นหยิบนี่ในสังคมมาเผยแพร่ จนถึงประจานบนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค คือเรื่องน่าสนุก

เมื่อสักสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการแชร์ภาพๆ หนึ่งออกไป และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่ถูกแอบถ่ายในรถไฟฟ้า ภาพนั้นเป็นภาพคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายหนึ่งเป็นฝรั่งหน้าตาหล่อ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทยหน้าตาธรรมดาๆ กำลังจับมือกันอยู่ในช่วงการเดินทางบนรถไฟฟ้า

ภาพถูกแชร์ไปสนั่นหลายเว็บไซด์ในวันเดียว โดยสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากที่สุด คือวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาของฝ่ายไทย ในเชิง “เหยียด” ให้ดูว่าฝ่ายไทยนั้นดูแย่มาก แต่กลับได้แฟนเป็นฝรั่งหน้าตาดี ทำให้ชะนีอิจฉา สวยมักนกตลกมักได้ฯลฯ แล้วแต่จะวิจารณ์ มีทั้งวิจารณ์ในเชิงขบขันอย่างเหยียดๆ หรือขบขันอย่างอิจฉา


 :29: :29: :29: :29:

โชคดีที่ฝ่ายที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักนี้เขาไม่ใช่คนที่คิดอะไรมาก คงเข้าใจธรรมชาติของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คข้อหนึ่งว่า มันเป็นพื้นที่ให้คนปล่อย “ขยะ” ทางความคิด หรือเรียกแสบๆ คือ “สันดานดิบ” ออกมาได้อย่างเสรี เพราะความไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่รู้จักตัวจริงกัน ก็เลยไม่ต้องระวังอะไรกับสิ่งที่แสดงออก

แต่เรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า การจับจ้องและนำมาเผยแพร่ มันก็มีข้อเสียที่น่ากลัว คือเป็นการเปิดพื้นที่ประจานคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดยเห็นเป็นเรื่องน่าขำคนถูกประจานก็ไม่รู้ว่า ตัวเองจะตกเป็น “topic” เมื่อไร บางทีไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่หน้าตาไม่เป็นที่ถูกใจชาวเน็ตก็กลายเป็นเรื่องออกสื่อไปหน้าตาเฉย

การประจานบนอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกได้ว่าเป็น internet bully รูปแบบหนึ่งนี้ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นสนุกๆ เพราะความที่คนเรา “ภูมิคุ้มกัน” ทางใจไม่เท่ากัน ไม่สามารถรองรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์โจมตี และเห็นว่า ก็แค่ขำๆ ได้ทุกคน คนที่อ่อนไหวเปราะบาง เจอชาวเน็ตโจมตีอาจเลือกเส้นทางปลิดชีวิตตัวเองก็ได้


 :91: :91: :91: :91:

ดูอย่างเมื่อหลายปีก่อน ในประเทศเกาหลีใต้ มีข่าวเด็กสาวคนหนึ่งที่ลดน้ำหนักจาก 87 กก.จนผอมเพรียว แล้วบังเอิญไปถ่ายรูปคู่ดาราคนโปรด ซึ่งเป็นนักร้องในวง super junior พอรูปนั้นถูกเผยแพร่ออกไป ก็โดนแฟนคลับของ SJ กระหน่ำตามจิกด่า โจมตีเรื่องอ้วน โจมตีเรื่อง ฯลฯ จนทนไม่ไหวฆ่าตัวตายไป

เมื่อเราไม่รู้ว่า วันหนึ่งเราจะตกเป็น topic บนโลกอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่ สิ่งที่ต้องเตรียมใจไว้ คือ การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้เข้มแข็ง บอกตัวเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คมันเป็นแค่กระแส เกิดขึ้นแล้วก็จบไป แต่ตัวเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่าให้ใครทำร้ายใจเราได้

ภูมิคุ้มกันทางใจเป็นสิ่งที่น่าจะเริ่มพูดกันจริงจังในยุค “ประจานทางเน็ต” นี้



คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่ โดย “บุหงาตันหยง”
http://www.dailynews.co.th/article/317826
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ