ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำบุญแล้ว.."อธิษฐานให้เกิดในสวรรค์" เป็นไปได้หรือไม่.?  (อ่าน 3384 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

นานาสารธรรม : ทำบุญแล้วอธิษฐานให้เกิดในสวรรค์ เป็นไปได้หรือไม่.?

หนึ่งในคำอธิษฐานของชาวพุทธ ที่มักจะอธิษฐานขอพรเมื่อทำบุญ และกราบไหว้บูชาพระ ก็คือ ขอให้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าในสวรรค์ เพราะมีความเชื่อว่า สวรรค์คือสถานที่แห่งความสุขสบาย ไร้ความทุกข์ใดๆทั้งปวง
       
       เรื่องการทำบุญแล้วอธิษฐานให้เกิดในสวรรค์ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงนิพนธ์ให้ความรู้ไว้ในห นังสือ “สวรรค์ ในคำสอนของพระพุทธศาสนา” ซึ่ง “ธรรมลีลา” ขอนำมาเผยแพร่ดังนี้

        :96: :96: :96: :96:

ในอรรถกถาธรรมบท (ปฏิปูชิกา สตฺถุ ธมฺมปทฺ ๓/๒๖-๙) เล่าเรื่องเวลาของสวรรค์เทียบกับมนุษย์ไว้ว่า       

       ในดาวดึงส์เทวโลก เทวบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า มาลาภารี ไปเที่ยวชมอุทยานพร้อมกับหมู่เทพอัปสร เทพธิดาองค์หนึ่งจุติในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนกิ่งต้นไม้ให้ดอกไม้หล่นจากต้น สรีระของนางดับหายไปเหมือนอย่างเปลวประทีปดับ นางถือปฏิสนธิในตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถี เมื่อเกิดขึ้นระลึกชาติได้ว่า เป็นภรรยาของมาลาภารีเทวบุตรจุติมาเกิด ได้ทำการบูชาพระรัตนตรัย ตั้งความปรารถนาจะไปเกิดในสำนักของเทพสามีอีก
       
       ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี นางมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทำบุญกุศลต่างๆ และตั้งความปรารถนาข้อเดียวนั้นตั้งแต่ยังเยาว์วัย จนถึงได้นามว่า ปติปูชิกา แปลว่า บูชาเพื่อสามี
       
       เมื่อเจริญวัยขึ้นได้สามี คนทั้งหลายก็เข้าใจว่าเป็นที่สมปรารถนาแล้ว นางมีบุตรหลายคนโดยลำดับ ได้ตั้งหน้าทำบุญกุศลต่างๆ เป็นนิตย์มา ในวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อฟังธรรมรักษาสิกขาบทแล้ว ถึงแก่กรรมด้วยโรคปัจจุบัน บังเกิดในสำนักเทพสามีในสวนสวรรค์นั้นแล

        :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

      ขณะนั้น มาลาภารีเทวบุตรก็กำลังอยู่ในอุทยาน หมู่เทพอัปสรกำลังเก็บร้อยดอกไม้กันอยู่ เทวบุตรได้ทักถามว่า นางหายไปไหนแต่เช้า นางได้ตอบว่าจุติไปเกิดในมนุษย์ ได้เล่าเรื่องของนางในมนุษย์โดยตลอด และได้เล่าถึงความตั้งใจของนาง เพื่อที่จะมาเกิดอีกในสำนักของเทพสามี บัดนี้ก็ได้มาเกิดสมปรารถนาด้วยอำนาจบุญกุศล และความตั้งใจ
       
    เทวบุตรถามถึงกำหนดอายุมนุษย์ เมื่อได้รับตอบว่าประมาณร้อยปีเกินไปมีน้อย
    ได้ถามต่อไปว่า :-
    หมู่มนุษย์มีอายุเพียงเท่านี้ พากันประมาทเหมือนอย่างหลับ หรือพากันทำบุญกุศลต่างๆ.?
    เทพธิดาตอบว่า :-
    พวกมนุษย์โดยมากพากันประมาท เหมือนอย่างมีอายุตั้งอสงไขย เหมือนอย่างไม่แก่ ไม่ตาย เทวบุตรได้เกิดความสังเวชใจขึ้นมาก.!!

       

       เรื่องนี้ท่านเขียนเล่าประกอบพระพุทธภาษิต ในธรรมบทข้อหนึ่งที่แปลความว่า
      “ผู้ทำที่สุด (แห่งชีวิตคือความตาย) ย่อมทำนรชนที่มีใจติดข้องในสิ่งต่างๆ ไม่อิ่มอยู่ในกามทั้งหลายเหมือนเพลินเก็บดอกไม้อยู่สู่อำนาจ”
       
       ดูความแห่งพระธรรมบทข้อนี้เห็นได้ว่า มุ่งเตือนใจให้ไม่ประมาท เพราะทุกๆคนจะต้องตาย ขณะที่ยังไม่อิ่มยังเพลิดเพลินอยู่ในกามเหมือนอย่างเพลินเก็บดอกไม้ ท่านจึงเล่าเรื่องเทพธิดาเพลินเก็บดอกไม้ต้องจุติทันทีในสวนสวรรค์
       
  เทวดามีอายุยืนนาน คติภายนอกพระพุทธศาสนาว่า เป็นผู้ไม่ตาย จึงเรียกว่า อมร(ผู้ไม่ตาย) ก็มี
  แต่คติทางพระพุทธศาสนาว่า มีอายุยืนมากเท่านั้น เพราะมีหลักธรรมอยู่ว่า เมื่อมีเกิดก็ต้องมีตาย จึงไม่รับรองเทวดามารพรหมทั้งสิ้นว่า เป็นอมรคือผู้ไม่ตาย


        :49: :49: :49: :49:

      เมื่อเทียบระยะเวลาของมนุษย์กับสวรรค์ ชั่วชีวิตของมนุษย์ที่กำหนดร้อยปี เท่ากับครู่เดียวของสวรรค์เท่านั้น เรื่องในอรรถกถานี้ ท่านเล่าให้มองเห็นว่าครู่เดียวจริงๆ ชาติหนึ่งของมนุษย์ยังไม่เท่าเวลาชมสวนของเทวดาครั้งหนึ่ง
       
       ท่านเล่าเรื่องในตอนท้ายให้เทวดาสังเวชมนุษย์ว่าประมาท แม้จะไม่ตรงประเด็นกับความในพระธรรมบทนัก ก็ชวนให้เห็นว่าประมาทกันอยู่จริง เพราะทำให้เห็นชัดว่าชีวิตนี้น้อยนัก เหมือนอย่างครู่เดียวจะแสดงอย่างไรให้เห็นชัด จึงเล่าเรื่องในสวรรค์ เป็นเรื่องเทียบที่ทำให้เห็นชัดได้ทันทีว่าน้อยนิดเดียว นำใจให้เกิดสังเวชเกิดความไม่ประมาทขึ้นได้เร็ว เป็นอันว่าท่านสอนได้ผล
       
       อันที่จริงเม็ดยาที่เคลือบน้ำตาลเป็นของที่กลืนง่าย ถ้าคิดรังเกียจสงสัยว่าน้ำตาลเคลือบ ไม่ใช่น้ำตาลจริง ไม่ยอมรับยา โรคก็ไม่หาย ถ้ารับยาเคลือบน้ำตาลที่ถูกโรค นอกจากโรคจะหายแล้ว ยังหวานลิ้นอีกด้วย

       


         • อายุของชาวสวรรค์

       ใน ติกนิบาต (องฺ. ติก. ๒๐/๒๗๓/๕๑๐; ไตรภูมิ.ฉัฏฐกัณฑ์.) แสดงอายุสวรรค์เทียบอายุมนุษย์ไว้ว่า
       
    - ห้าสิบปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ๓๐ คืนวันเป็นหนึ่งเดือนสวรรค์นั้น ๑๒ เดือนเป็นหนึ่งปีสวรรค์นั้น ห้าร้อยปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นจาตุมหาราชิกา เท่ากับเก้าล้านปีมนุษย์
    - หนึ่งร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นับเดือนปีเช่นเดียวกัน พันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นดาวดึงส์ เท่ากับสามโกฏิหกล้านปีมนุษย์       
    - สองร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นยามา นับเดือนปีเช่นเดียวกัน สองพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นยามา เท่ากับสิบสี่โกฏิสี่ล้านปีมนุษย์     
    - สี่ร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นดุสิต นับเดือนปีเช่นเดียวกัน สี่พันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นดุสิต เท่ากับห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปีมนุษย์     
    - แปดร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันสวรรค์ชั้นนิมมานรดี นับเดือนปีเช่นเดียวกัน แปดพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นนิมมานรดี เท่ากับสองร้อยสามสิบโกฏิกับสี่ล้านปีของมนุษย์       
    - หนึ่งพันหกร้อยปีมนุษย์เป็นหนึ่งคืนวันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี นับเดือนปีเช่นเดียวกัน หนึ่งหมื่นหกพันปีทิพย์นี้เป็นประมาณอายุของเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับแปดร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิกับหกล้านปีมนุษย์
(การคิดเทียบปีมนุษย์นี้คัดมาไม่ได้สอบดูว่าจะถูกหรือผิดอย่างไร)

       
จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 173 พฤษภาคม 2558 โดย กองบรรณาธิการ
http://manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9580000049487
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 08, 2015, 07:50:05 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ