ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เหนือสิทธิมนุษยชน คือ กตัญญูธรรม : วิปัสสนาบนหน้าข่าว  (อ่าน 2657 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

เหนือสิทธิมนุษยชน คือ กตัญญูธรรม : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
โดย พระวิจิตรธรรมาภรณ์

อาตมาเคยเป็นสามเณรอยู่วัดป่า ได้นกเป็นเพื่อน ข้างศาลาจะมีบ่อเล็กๆ กลางวันไปตักน้ำมาใส่บ่อให้นกแต้มปูนลงเล่น นั่งดูนกเพลินๆ บ้าง นอกจากพระอาจารย์มหามังกร ปัญญวโร ที่เป็นอาจารย์ ก็มีหลวงปู่โทนอีกรูปหนึ่งอยู่ด้วยกัน เวลาเดินจงกรม ก็ทำทางเดินจงกรมคู่กับท่าน แล้วเดินด้วยกัน เวลานั่งสมาธิกลางวัน ก็ทำที่นั่งในป่าเข้าไปอีก แม้อยู่วัดป่า แต่ก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือที่นั่น ได้รู้จักหนังสือสามก๊ก ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น มิลินทปัญหา ฯลฯ

พูดถึงเรื่องเดินจงกรม มีเรื่องเล่าตามประสายังเด็ก เวลาเดินจงกรมหลวงปู่ก็จะบอกว่า "จัวน้อย" (หมายถึงเณรน้อย) ให้เจ้าย่างจากต้นไม้นั้นไปถึงต้นไม้นั้น เราก็เดินกับท่าน เพราะความที่ท่านขยันเดิน เดินทุกวัน ฉันเสร็จก็เดิน เดินเช้า เดินเย็น เดินค่ำ  ทางเดินจงกรมของท่านจึงลึกลงเป็นแนวตามทางจงกรม และดินตรงนั้นก็จะละเอียด เพราะถูกย่ำกลับไปกลับมา พอลึกลงมากก็กวาดดินกลบใหม่ แล้วก็เดินอีก วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า


 :25: :25: :25: :25:

เราเป็นเด็ก ไม่ขยันอย่างท่าน แต่อยากให้ทางเดินจงกรมลึกอย่างท่าน ก็เอาส้นเท้าทิ่มลงดินบ้าง ทำตามประสาเด็ก กลางคืน จะจุดเทียนหรือไม่ก็ตะเกียงให้แสงสว่างเฉพาะช่วงทำวัตรสวดมนต์ เพราะไม่มีไฟฟ้า

พอถึงเวลาบิณฑบาต ออกจากวัดป่า ต้องเดินอุ้มบาตสองใบ  จวนเข้าหมู่บ้าน จึงเอาบาตรถวายอาจารย์ ท่านก็รับบาตรจากเราแล้วเดินเข้าหมู่บ้าน พอออกพ้นหมู่บ้าน เราก็รับบาตรจากท่าน อุ้มเดินมาจนถึงวัดป่า ตอนกลับจะหนักมาก เพราะมีอาหารบิณฑบาต และต้องอุ้มสองใบ ซึ่งก็หนักเอาเรื่องอยู่

 :96: :96: :96: :96: :96: :96:

สมัยนั้นวัดป่าพระพิฆเณศวร์ ยังเป็นวัดร้างอยู่ในป่า ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร ริมแม่น้ำมูล ใน จ.อุบลราชธานี  พรรษานั้น มีพระอาจารย์มหามังกร หลวงปู่โทน และมีพระบวชจำพรรษาอีกรูปหนึ่ง รวมทั้งอาตมาซึ่งเป็นสามเณร พรรษาถัดมา หลวงปู่ท่านก็ขึ้นภูพานนานหลายสิบปี จนชราภาพมาก ช่วงสุดท้ายของชีวิตจึงกลับลงมาจำพรรษาที่วัดป่าอีกครั้ง แล้วมรณภาพที่วัดป่า อายุท่านน่าจะร่วม ๙๐ ปี ส่วนอาจารย์มหามังกร มรณภาพไปก่อนหน้านั้นนานหลายปี เนื่องจากท่านชอบธุดงค์ น่าจะจำพรรษาที่วัดป่าพระพิฆเณศวร์ ๓ หรือ ๔ พรรษา  ต่อมา ท่านชอบธุดงค์ไปเรื่อย ไม่ชอบอยู่ติดที่ พอคนเริ่มรู้จักท่านมากขึ้นก็ย้ายที่จำพรรษา

มีอยู่คราวหนึ่งไปธุดงค์แล้วติดเชื้อไข้ป่ากลับมา อาทิตย์เดียวก็มรณภาพ พระสายอีสานเรียกท่านว่ามหาน้อย เนื่องจากรูปร่างท่านเล็ก เทศน์เก่ง เวลาเทศน์ชาวบ้านนั่งฟังตั้งแต่หัวค่ำจวนเที่ยวคืนตีหนึ่งจึงเลิก พอตีสามก็นำทำวัตรสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิจนฟ้าสาง


ask1 ans1 ask1 ans1

ลูกผู้ชายได้บวชเรียน ก็มีคำถามจากลูกผู้หญิงว่าจะได้สิทธิ์นั้นอย่างไร.?

วันนี้เรื่องภิกษุณีมีความสลับซับซ้อนในมติของสังคม


ในประเทศไทยไม่มีใครตอบได้ว่า วงศ์ภิกษุณีเคยมีอยู่หรือไม่ หรือขาดหายไปเมื่อใด น่าคิดว่า ทำไมขาดสูญไป ด้วยเหตุผลกลใด มองในมุมประวัติศาสตร์ ก็ยิ่งมืดมน แทบไม่เห็นมีการจดบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ ทั้งที่เป็นหนึ่งในพุทธบริษัทที่สำคัญ นอกจากการปะทะกันทางด้านความคิด ก็มีผู้พยามยามจะฟื้นฟูภิกษุณี แต่คงไม่มีพระรูปใดจะรับรองความถูกต้องตามพระวินัย  ประเด็นปัญหาที่สำคัญในเวลานี้ก็คือ น่าจะทำสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์เช่น แม่ชี ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามีสถานะอย่างไร
 
ประเด็นสถานะของแม่ชี มหาเถรสมาคมก็เคยหยิบยกมาพูดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ระยะหนึ่ง ที่จะให้มีกฎหมายรองรับสถานะ  แต่มีการปะทะกันทางความคิด ทั้งในแง่การเมืองและในแง่ศาสนา ในที่สุดก็ตกไป

 ans1 ans1 ans1 ans1

สำหรับแม่ชีในสังคมไทยดูเหมือนจะเข้ากับอัธยาศัยโดยรวมของสังคม ไม่ก่อปัญหาที่สองซ้อนขึ้นมาอีก มีผู้พยายามตีความว่า แม่ชีคือผู้รับใช้พระ ผิดหลักสิทธิมนุษยชน เป็นการกดขี่ทางเพศ เป็นการมองเพียงมุมสิทธิมนุษยชนเท่านั้น ไม่ได้มองในมุมศาสนา ซึ่งตัวสิทธิมนุษยชนก็ยังเป็นปัญหาในตัวเอง แก้ยังไม่ตก

ขณะที่สังคมไทยเราเป็นลักษณะที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านก็เกื้อกูลโดยธรรม เมื่อมีสตรีต้องการประพฤติธรรมเป็นอนาคาริก ก็บวชเป็นแม่ชีให้อยู่พฤติธรรมในสำนักร่วมกับพระสงฆ์ สังคมเราก็อยู่เช่นนี้มาช้านาน สตรีในชุดสีขาวบริสุทธิ์ก็ดูสง่างาม

 
 st12 st12 st12 st12

หากมองในมุมเกื้อกูลกันโดยธรรม ศาสนาในบ้านเรา ก้าวข้ามเรื่องการกดขี่ทางเพศมานาน เพราะยึดธรรมเป็นใหญ่ แบบครูบาอาจารย์เกื้อกูลศิษย์ ศิษย์ได้รับความเมตตาจากท่านโดยธรรม ปลดทุกข์ทางใจ ก็อุปัฏฐากโดยธรรม มีการปัดกวาด ตั้งน้ำใช้  น้ำฉัน เป็นต้น

หากมองการจัดแจง ปัดกวาด ตั้งน้ำใช้น้ำฉัน เป็นต้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของศิษย์โดยธรรม เป็นเพียงการกดขี่ทางเพศ ก็ละเลยการเกื้อกูลกันโดยธรรม เป็นการละเลยหน้าที่ ที่ศิษย์พึงปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์ ก็คือละเลยการปฏิบัติในกตัญญูธรรมนั่นเอง

 st11 st11 st11 st11 st11

ที่ใดศิษย์ไร้กตัญญู ไม่ควรนับเป็นศิษย์ที่ดี เหมือนพ่อแม่ เลี้ยงลูกไร้กตัญญู นอกจากความทุกข์ระทมใจในปัญหาที่ลูกก่อ ก็เหนื่อยเปล่า ลูกไร้กตัญญู ไม่นับเป็นลูกที่ดี ฉันใด ศิษย์ไร้กตัญญู ก็ไม่นับเป็นศิษย์ที่ดี ฉันนั้น

สังคมศาสนาในไทยเรา ครูบาอาจารย์ ท่านยึดการเกื้อกูลโดยธรรมอนุเคราะห์ศิษย์ เพราะเมตตาธรรมเป็นหลัก มีบวชถือศีลตามสมควรแก่ฐานะและโอกาส บวชชี ยังมีชีแบบโกนผม กับชีพราหมณ์แบบไม่โกนผม แยกย่อยลงไปอีก ล้วนแต่เป็นแนวทางที่ท่านหาทางทางออกในสิ่งที่เป็นช่องว่าง ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้

 :25: :25: :25: :25:

วิถีบางอย่างในคณะสงฆ์มีประเพณี มีแบบแผนยึดถือกันมาตามธรรมตามวินัย ส่งตกทอดกันมาจากบูรพาจารย์สู่รุ่นศิษย์ ท่านก็ถือของท่านมา เราก็อย่าไปลบล้างของท่าน

ภาพในสังคมไทยที่อยู่กันมา พอถึงวันพระ เราก็เห็นปู่ย่า ตา ยาย ลุง ป้า ใส่ชุดขาว มีดอกไม้ไปถือศีลในวัด กลางวันก็ช่วยพระกวาดศาลา กวาดลานวัด กวาดใบไม้ ใบหญ้า ก็อยู่กันมาแบบนี้ นมนานแค่ไหน ก็สุดจะคำนวนย้อนไปหาที่มาที่ไปได้ แต่ก็อยู่กันมา ถือศีลตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นลาศีลก็ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ผู้หญิงที่มีอุตสาหะมาก ก็บวชชีโกนผมใส่ชุดขาวปฏิบัติธรรม ด้วยการเกื้อกูลของครูบาอาจารย์ สังคมก็งดงาม

 :96: :96: :96: :96: :96:

แม่ชีบางคนบางท่านเจริญในธรรม บางคนลาศีลกลับไปใช้ชีวิตปกติของชาวพุทธ การปะทะทางความคิดก็ไม่มี ความขัดแย้งก็ไม่เกิด พอไปยึดแนวสิทธิมนุษยชน โดยไม่คำนึงถึงบริบทของสังคมว่าอยู่กันมาอย่างไร ก็เริ่มห่างไกลแนวศาสนา แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหา ก็กลับเป็นการสร้างปัญหาใหม่ซ้อนทับปัญหาเก่าเข้าไปเสียอีก คือ ปัญหาแม่ชีก็ยังหาทางออกกันไม่ได้ ก็มีปัญหาใหม่ซ้อนทับลงไปกลายเป็น "ลิงแก้แห"

ที่จริงสังคมไทยเรามีภาวะการแก้ปัญหาแบบลิงแก้แหมาก ยิ่งแก้ยิ่งมั่ว ยิ่งแก้ยังพัน ในที่สุดก็รัดคอตัวเอง เพราะคนแก้ก็ไม่รู้ปัญหาจริงๆ ไม่รู้อันไหนเงื่อน อันไหนปม เลยสร้างปมใหม่ขึ้นมา เป็นปมซ้อนปม

ทุกสังคม ทุกองค์กร มีแบบแผน มีประเพณี มีกฎ มีระเบียบ ยึดถือ ตกทอด ควรให้ความเคารพในแบบแผน ประเพณีของท่าน และประเพณีนี้เองไม่ใช่หรือ ที่รักษาแก่นของธรรม แก่นศาสนาไว้ไม่ให้ตกหล่นไปตามกาลเวลา


 ans1 ans1 ans1 ans1

พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เทอด ญาณวชิโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เกิดที่ จ.อุบลราชธานี บวชเณรที่วัดปากน้ำ จ.อุบลราชธานี พรรษาที่ ๒๓ อายุ ๔๓ ปี อุปสมบทกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ณ วัดสระเกศ ต่อมาไปใช้ชีวิตแบบพระป่าอยู่หลายปี กับพระอาจารย์มหามังกร ปัญญวโร ที่วัดป่าพระพิฆเณศวร์ บ้านปากน้ำ (บุ่งสระพัง) ต.กุดลาด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
 
ที่วัดสระเกศ ท่านได้รับการบ่มเพาะการทำงานจากเจ้าพระคุณสมเด็จเกี่ยว ทุกอย่างทั้งในด้านการบริหารและการภาวนา  ปัจจุบันนอกจากเป็นเลขานุการเจ้าคณะภาค ๑๐  คือเป็นเลขานุการท่านเจ้าคุณพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหารแล้ว ยังเป็นหัวหน้าสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไทยไปต่างประเทศด้วย


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150525/206853.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ