พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต    [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างเป็นไปในส่วนแห่งวิชชาธรรม ๒ อย่างเป็นไฉน คือ 
             สมถะ ๑ 
             วิปัสสนา ๑ 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
    สมถะที่ภิกษุเจริญแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมอบรมจิต 
    จิตที่อบรมแล้วย่อมเสวยประโยชน์อะไร ย่อมละราคะได้ 
    วิปัสสนาที่อบรมแล้วย่อมเสวย ประโยชน์อะไร ย่อมอบรมปัญญา 
    ปัญญาที่อบรมแล้ว ย่อมเสวยประโยชน์อะไ รย่อมละอวิชชาได้ ฯ
    [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น
    หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
    เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่า เจโตวิมุติ 
    เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุติ ฯอ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๑๕๖๔ - ๑๖๑๖. หน้าที่ ๖๘ - ๗๐. 
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=1564&Z=1616&pagebreak=0              ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- 
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=267ขอบคุณภาพจาก 
http://www.phuttha.com/
วิมุตติ ความหลุดพ้น, ความพ้นจากกิเลส มี ๕ อย่าง คือ
       ๑. ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับหรือพ้นชั่วคราว
       ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดได้
       ๓. สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด
       ๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ พ้นด้วยสงบ
       ๕. นิสฺสรณวิมุตติ พ้นด้วยออกไป;
           ๒ อย่างแรก เป็น โลกิยวิมุตติ
           ๓ อย่างหลังเป็น โลกุตตรวิมุตติ
เจโตวิมุตติ - ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ  (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิดปัญญาวิมุตติ จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)
ปัญญาวิมุต “ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา” หมายถึง พระอรหันต์ผู้สำเร็จด้วยบำเพ็ญวิปัสสนาโดยมิได้อรูปสมาบัติมาก่อน 
ปัญญาวิมุตติ - ความหลุดพ้นด้วยปัญญา,
       ความหลุดพ้นที่บรรลุด้วยการกำจัดอวิชชาได้ ทำให้สำเร็จอรหัตตผล
       และทำให้เจโตวิมุตติ เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อไปอ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ และฉบับประมวลธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) และจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณทิตยสถาน
อรหันต์ ๒ (ผู้บรรลุอรหัตตผลแล้ว, ท่านผู้สมควรรับทักษิณาและการเคารพบูชาอย่างแท้จริง) 
    ๑. สุกขวิปัสสก (ผู้เห็นแจ้งอย่างแห้งแล้ว คือ ท่านผู้มิได้ฌาน สำเร็จอรหัตด้วยเจริญแต่วิปัสสนาล้วน ๆ) 
    ๒. สมถยานิก (ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหัต) 
อรหันต์ ๔, ๕, ๖๐ 
    ๑. สุกฺขวิปสฺสโก (ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน) 
    ๒. เตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓) 
    ๓. ฉฬภิญฺโญ (ผู้ได้อภิญญา ๖) 
    ๔. ปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา) 
    พระอรหันต์ทั้ง ๔ ในหมวดนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงประมวลแสดงไว้ในหนังสือธรรมวิภาคปริจเฉทที่ ๒ หน้า ๔๑ พึงทราบคำอธิบายตามที่มาเฉพาะของคำนั้นๆ 
    แต่คัมภีร์ทั้งหลายนิยมจำแนกเป็น ๒ อย่าง เหมือนในหมวดก่อนบ้าง เป็น ๕ อย่างบ้าง  ที่เป็น ๕ คือ 
    ๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา) 
    ๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ) 
    ๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓) 
    ๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖) 
    ๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔) 
   ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น  
    พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท)  
    พระเตวิชชะ กับ พระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญาก็มี  
    ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้นประกอบความเพียรไว้เก่า และการบรรลุอรหัต 
    พระอรหันต์ทั้ง ๕ นั้น แต่ละประเภท จำแนกโดยวิโมกข์ ๓ รวมเป็น ๑๕  
    จำแนกออกไปอีกโดยปฏิปทา ๔  จึงรวมเป็น ๖๐  
    ความละเอียดในข้อนี้จะไม่แสดงไว้ เพราะจะทำให้ฟั่นเฝือ ผู้ต้องการทราบยิ่งขึ้นไป พึงดูในหนังสือนี้ฉบับใหญ่ อ้างอิง วิสุทธิ.๓/๓๗๓; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๖๕๗. 
ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
ขอบคุณภาพจาก 
http://www.palungdham.com/

     
    ขอทำความเข้าใจเรื่อง เจโตวิมุต กับ ปัญญาวิมุต ให้กระจ่างยิ่งขึ้น
    เจโตวิมุต เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว ด้วยการสะกดเอาไว้ ด้วยกำลังของสมาธิ เรียกว่า "โลกิยวิมุตติ" ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่ใช่อรหันต์
    ปัญญาวิมุต เป็นการหลุดพ้นอย่างถาวร ตัดขาดโดยสิ้นเชิง เรียกว่า "โลกุตตรวิมุตติ" เป็นการบรรลุอรหันต์
    คราวนี้มาทำความเข้าใจพระสูตรอีกครั้ง
    "สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้
     ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
     อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
     ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ"
   จากข้อความตามพระสูตรข้างต้น แบ่งเป็นอรหันต์ได้ ๔ ประเภท
      ๑. พระเตวิชชะ        คือ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓
      ๒. พระฉฬภิญญะ     คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖
      ๓. พระอุภโตภาควิมุต คือ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ
      ๔. พระปัญญาวิมุต    คือ ๕๐๐ - (๖๐+๖๐+๖๐) เท่ากับ ๓๒๐ รูป
    หากวินิจฉัยตามคัมภีรวิสุทธิมรรค โดยแบ่งอรหันต์ ๒ ประเภทหลัก จะเป็นดังนี้
      ๑. พระปัญญาวิมุต   มีจำนวน ๓๒๐ รูป (เจริญปัญญาอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนบรรลุอรหันต์)
      ๒. พระอุภโตภาควิมุต ประกอบด้วย วิชชาสาม อภิญญาหก และอุภโตภาควิมุต(๖๐+๖๐+๖๐)
          มีจำนวน ๑๘๐ รูป(เริ่มด้วยเจโตวิมุต และสำเร็จอรหันต์ด้วยปัญญาวิมุต)