ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "ไม่มีรสอะไร เลิศไปกว่ารสสัจจะ" กรณีเนปาลกับความจริงที่ "ต้องรู้"  (อ่าน 1101 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29439
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


กรณีเนปาลกับความจริงที่"ต้องรู้"
โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศ "เนปาล" เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 เวลา 11.56 น. ด้วยขนาด 7.9 แมกนิจูด ยังผลให้เกิดคนตายกว่า 8 พันคน และบาดเจ็บกว่าหมื่นคน ก่อนจะเกิดวิปโยคซ้ำระลอกสองในวันที่ 12 พ.ค.2558 ความรุนแรงวัดได้ 7.3 แมกนิจูด มีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 60 คน บาดเจ็บ 1,129 คน

ผู้เสียชีวิตมีทั้งคนเนปาลและนักท่องเที่ยว หรือคนต่างบ้านต่างเมืองที่ไปอยู่ ณ ที่เกิดเหตุเวลานั้น แผ่นดินไหวไม่มีคนรู้และพยากรณ์ได้ล่วงหน้าเหมือนลม ฟ้า อากาศ จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าจะต้องมาตายด้วยเหตุการณ์นี้ และทำไมจะต้องมาตายที่ประเทศ "เนปาล" เหมือนที่เราพูดกันเสมอว่า "ชีวิตนี้ช่างไม่แน่นอนเลย"

หากเราพิจารณาดูข้อความจริงที่ว่า ชีวิตคนเรานั้นอยู่ในวัฏสงสาร คือ "อนิจจัง ทุกขํ อนัตตา" โดยเฉพาะคำอนิจจัง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเกิดความตายนั้น มีคติในทางพระพุทธศาสนาสอนเป็นอันมาก "ให้รู้เท่าทันความจริง" เช่น บางคนบอกว่านับตั้งแต่นาทีที่มีคนเกิดมา "ชีวิตก็บ่ายหน้าไปหาความสิ้นสุดทั้งนั้น" เรียกว่า "ชีวิตก็ต้องเดินหน้าไปหาจุดจบอย่างเดียว สิ่งที่จะทำให้ก็มีแต่ว่า "ทำอย่างไรจะประคับประคองบริหารชีวิตของเราให้ดีที่สุดในระหว่างที่ยังเป็น...อยู่...นั้น...?"

 :96: :96: :96: :96: :96: :96:

ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างกรณีสึนามิของประเทศไทย เมื่อ 26 ธันวาคม 2548 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนไทยและต่างชาติตายกว่าหมื่นคน กรณีแผ่นดินไหวของประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 ที่ผ่านมาก็เช่นกัน กำลังตรวจรับนับจำนวนบนพื้นธรณีก็ยังค้นหาจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ ยังสรุปตัวเลขไม่ลง เช่นเดียวกับสึนามิ ก็ต้องค้นหาในแม่คงคาเหมือนกัน...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...โดยธรรมชาติ...นับเป็น "กฎธรรมชาติ" อย่างหนึ่ง...เป็นกฎธรรมชาติที่เห็นได้ง่ายๆ ในรูปของการเปลี่ยนแปลง ถ้าต้องการจะบอกว่าสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือมีความเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นดอกไม้ที่จัดวางหน้าศพ ตอนแรกตั้งสวยดี ยังใหม่อยู่ พอเข้าวันที่ 2-3 ข้ามวันไป ดอกไม้ดังกล่าวก็เหี่ยวแห้งลงไปตามลำดับ

     "กฎธรรมชาติ" เป็นความจริงที่เราทั้งหลายจะต้องรู้ไว้ เพราะมีแต่ "ประโยชน์" แม้จะเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่ถูกใจเรา ไม่ปรารถนา อยากหนีไปให้ไกล แต่หนีอย่างไรก็ไม่พ้น เราก็ต้องรู้เพื่อจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
     "ความรู้กฎธรรมชาติ" หรือ "ความจริง" ของสื่อทั้งหลายตามธรรมดาที่อาจแบ่งง่ายๆ ว่ามีประโยชน์ 3 ขั้น

ขั้นที่ 1 : เป็นประโยชน์สำหรับที่จะปฏิบัติตามได้ถูกต้อง เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยดี มิให้เกิดทุกข์โทษภัย
ขั้นที่ 2 : เป็นประโยชน์ในการที่จะนำมาใช้ มาจัด มาทำ หรือสร้างสรรค์อะไรของเราเอง ให้สำเร็จขึ้นมาตามต้องการ
ขั้นที่ 3 : เป็นประโยชน์ในทางความรู้เท่าทันที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ทำให้รู้จักวางท่าทีของจิตใจให้ถูกต้อง ทำให้มีความสุข และไร้ทุกข์อย่างแท้จริง

ประโยชน์สามข้อนี้ หากเราทำความเข้าใจให้รู้ตระหนักก็จะเกิดประโยชน์กับ "ตัวเรา" อย่างมาก


 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

กรณีข้อ 1 ตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตคนเรากับด้านวัตถุที่เราอาศัยอยู่ภายใต้โลกนี้ สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ของเราอยู่ตลอดเวลาเสมอๆ หนีไม่พ้น โบราณเรียกว่า "ดิน น้ำ ลม ไฟ"

"ไฟ" ก็อย่าง "ดวงอาทิตย์" มีแสงที่ร้อน แดดที่เป็นรัศมีของดวงอาทิตย์ส่งลงมา มีความร้อน ความร้อนนี้มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ตากผ้าทำให้แห้งได้ หรือตากปลา อาศัยแดดมาช่วยแผดเผา ช่วยให้หายชื้น ถ้าเราต้องการให้ผ้าแห้ง ปลาแห้ง เราก็ต้องปฏิบัติตามธรรมชาติ หรือเกษตรปลูกข้าว ถึงเวลานี้เดือนนี้ "ฝน" จะมา เราก็จะปลูกข้าวทำนา ปลูกพืชให้ตลอดการหมุนเวียนของฤดูกาลที่ฝนจะมา


กรณีที่ 2 : คนที่มีความเจริญ นอกจากมีความรู้เรื่องกฎธรรมชาติพอที่จะปฏิบัติตามไว้ให้ตนดำรงชีวิตด้วยดีแล้ว ก็เอาความรู้ในกฎธรรมชาติมา... "จัดสรรปรุงแต่ง" ทำอะไรต่ออะไรที่เป็นของตนเองขึ้นได้ด้วย เช่น ถ้า "ต้มน้ำ" ก็เอาไฟมาใช้ต้มน้ำเป็นไอขึ้นมา ไอที่พุ่งขึ้นมา ถ้าเอาอะไรไปปิดกั้นไว้ มันจะมีกำลังอัด อาจจะทำให้สิ่งที่กดทับนั้นถึงแตกระเบิดได้ ซึ่งความรู้นี้นำไปทำเป็นเครื่องจักร เครื่องกล เช่น เรือไอน้ำ รถไฟฟ้า

กรณีที่ 3 : คือการรู้เท่าทันความจริงของกฎธรรมชาตินั้น จนถึงขั้นที่ว่ามันเกิดผลแก่ชีวิตจิตใจอย่างแท้จริง ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจสภาวะของสิ่งต่างๆ ในข้อที่ 2 นั้นจะเห็นว่าเราใช้ประโยชน์ได้แค่ "ภายนอก" แต่ชีวิตจิตใจของเราเป็นอย่างเดิม เราก็ยังไม่รู้จักเท่ากับชีวิตของเรา ยังไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง แต่เท่าที่เรารู้เข้าใจกฎธรรมชาติให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก ก็จะหยั่งรู้ลงไปจนกระทั่งว่า "ตัวชีวิตของเรานี้เป็นอย่างไร?"


 :25: :25: :25: :25: :25:

คนจำนวนมากไม่เคยมองชีวิตของตัวเรา ไม่เคยมองถึงโลกนี้เป็น "สังขาร" มองแต่เพียงจะเอาความรู้ในกฎธรรมชาติของสิ่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์สนองความต้องการของตนเท่านั้น แล้วก็ทำไปๆ จนมีความรู้สึกเหมือนกันว่า เรานี้เป็น "คนเก่ง" มีความสามารถมาก มนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติได้

แต่พอหันกลับมาอีกทีหนึ่งก็ปรากฏว่าชีวิตของเราที่เป็นอย่างนั้น ได้กลายเป็นการตกเป็น "ทาส" ของสิ่งทั้งหลายมากมาย กลายเป็นว่าเราเอาชีวิตของเราไปฝากกับสิ่งภายนอก ไม่เป็นอิสระ วิ่งแล่นไปต่างๆ ไม่รู้ว่าจะวิ่งแล่นไปทำไม แล้วชีวิตของเราคืออะไรกันแน่ ไม่เคยคิด ไม่เคยพิจารณา นี่ก็หมายความว่าเข้าใจไม่ถึงกฎธรรมชาติอย่างแท้จริง คือธรรมชาติแห่งตนเองยังไม่รู้จักเลย

ความจริงนั้น "กฎธรรมชาติทั้งหลายภายนอก" กับ "ชีวิตของเรา" เกี่ยวเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเป็นผู้มีสติปัญญาอย่างแท้จริง ก็จะโน้มความเข้าใจนี้มาหาชีวิตของตนได้ จนกระทั่ง "รู้เท่าทันธรรมชาติ" หรือ "ธรรมดาแห่งชีวิตของตนเอง"

 st12 st12 st12 st12 st12

อย่างเรื่อง "อนิจจัง" คือความเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งหลาย เบื้องต้นเราก็มองเห็นภายนอกก่อน แม้แต่คนที่ว่านำความรู้กฎธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ก็อาศัยการรู้เข้าใจกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เอง เพราะสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ มันเปลี่ยนแปลง เราจึงสามารถจัดการและอยู่กับมันได้ การสร้างสรรค์ความเจริญต่างๆ นั้น เราก็สร้างสรรค์เหตุปัจจัยที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ อันนี้เป็นหลักการที่นำมาใช้ประโยชน์ ซึ่งมนุษย์ก็ได้ปฏิบัติอยู่เช่นนี้

แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านให้มองเห็นต่อไปด้วยถึง "ความจริง" ของธรรมชาติที่มีอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงชีวิตของเราด้วย จะต้องมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยของเรานี่เอง ถ้าเราได้เกิดความรู้ ตระหนัก "ความจริง" นี้ โดยโน้มเข้ามาหาภายในจิตใจชีวิตเราแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้น ทำให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต และก็มี "ความรู้สึกที่จะทำ ตั้งใจให้ถูกต้อง" ต่อสิ่งทั้งหลาย แม้แต่ชีวิตของเราเอง


 :49: :49: :49: :49: :49:

คนที่โลดแล่นหรือวิ่งแล่นไปโดยใช้ความรู้ภายนอกให้เป็นประโยชน์ในการทำสิ่งต่างๆ นั้น ไม่เคยพิจารณาในเรื่องชีวิตของตนเอง ก็มันหลงระเริงมัวเมาในชีวิตของตนเอง ทั้งที่ชีวิตของตนเองก็ตกอยู่ในกฎธรรมชาตินั้นด้วย ครั้นถึงเวลาที่ชีวิตของตนเองเกิดมีอันเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงนั้นกลับไม่รู้เท่าทัน แล้วก็ตกเป็น "ทาส" ของความเปลี่ยนแปลง เกิดความเศร้าโศกเสียใจ กลายเป็นอย่างนั้นไป

นี่ก็หมายความว่า "ความรู้เท่าทันนั้นไม่ทั่วตลอด" ความรู้ในกฎธรรมชาติที่แท้จะต้องให้ทั่วตลอดลงมาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งชีวิตจิตใจของตนเองด้วย

การรู้ เข้าใจ ในเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปต่างๆ นั้น สาระสำคัญอยู่ที่ไหน ตัวสำคัญที่เป็นจุดแกนหลัก ก็คือ "การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" หรือพูดให้สั้นๆ หรือแค่ว่า..."เกิดขึ้น ดับไป"...


 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

"การเกิดขึ้นดับไป" นี่เป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา "ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน"... ก็คือการเกิด การตายของชีวิตนั้นทั้งหมด ตั้งแต่การเกิดเมื่อก่อน 1 ขวบ ไปจนกระทั่งถึงตาย เมื่อตาย... 80 ปีนั้น ในระหว่างนั้นร่างกายและจิตใจของเรามีการเกิด ดับ ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเท่าไรครั้งมากมายเหลือเกิน ท่านนับเป็นขณะๆ ทีเดียว ซึ่งแปลความจริงที่เป็นของแท้แน่นอน

คนโดยมากเบื้องแรกที่สุด พอสัมผัสกับความรู้ความเข้าใจนี้ก็จะมีความตกใจ หวาดกลัวก่อน เพราะไม่เคยคิดไม่เคยพิจารณา แต่ถ้าเมื่อไรเขาทำใจให้คุ้นกับความจริงนี้คือ มองด้วยรู้เท่าทันกับ "ความจริง" นั้นขึ้น แล้วจะรับหน้าเผชิญกับสภาพความเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างดีขึ้น หรือแม้แต่คิดแม้แต่นึกถึง ก็จะมีจิตใจที่สบายได้ เพราะสิ่งนี้เป็นความจริง เป็นการสร้างที่มองเห็นด้วยปัญญา เมื่อปัญญาเห็นสว่างขึ้น จิตใจก็โปร่งโล่งแจ่มใส

 :25: :25: :25: :25: :25:

พระพุทธศาสนานั้น ท่านสอนให้เผชิญหน้ากับความจริงให้ยอมรับความจริง ในที่สุดแล้วคนเราต้องอยู่กับความจริง หนีความจริงไม่พ้น ถ้าเราทำจิตใจของเราให้อยู่กับความจริงได้ตลอดเวลาแล้ว ความจริงที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่กระทบกระเทือนจิตใจของเรา...

แต่ถ้าเราไม่ยอมรับมัน ความจริงมันก็เกิดอยู่ดี และเพราะเราไม่ยอมรับมัน...เวลามันเกิด มันจะกระทบกระเทือนต่อตัวเราอย่างมาก ความทุกข์ก็เกิดขึ้นมามาก เรื่องเป็น "ความทุกข์สองชั้น" คือทุกข์เพราะความดับที่ต้องเจอะเจอเป็นความจริงตามธรรมดา เมื่อถึงเวลาจะเกิด แล้วยังทุกข์ด้วยความหวาดผวาไหวหวั่นตลอดเวลา ก่อนที่ความจริงจะมาถึงอีกด้วย อย่างกรณีที่ "เนปาล" จัดเทศกาลสุดสลดฆ่าฟันคอสัตว์น้อยใหญ่ หนู วัว ควาย กว่า 500,000 ตัว เซ่นเจ้าแม่กาธิมัย เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2557 เชื่อว่าจะนำโชคดีมาให้ ขออะไรก็ได้ โดยชาวเนปาลที่เชื่อกว่า 2 ล้าน ใช้เวลา 2 วัน "กฎธรรมชาติ" ย่อมเหนือ "กฎแห่งกรรม" ผู้เขียนเชื่อว่าอย่างนั้น

 st12 st12 st12 st12 st12

ความจริงคือ "สัจจะ" ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ ปยุตฺโต) บอกว่าในที่สุดแล้ว..."ไม่มีรสอะไร เลิศไปกว่ารสสัจจะ" ดังบาลีที่ว่า "สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ" "สัจจะ แลเลิศรสกว่า ประดารส" หรือ "ความจริงนั้นแหละ เป็นเลิศรสกว่ารสทั้งหลาย"

เปรียบดังเหมือนอย่างน้ำที่รสต่างๆ น้ำหวาน น้ำเค็ม น้ำเปรี้ยว น้ำขม น้ำส้ม...ฯลฯ ในที่สุด รสดีที่สุดคือรสอะไร...นั่นคือรสน้ำบริสุทธิ์ รสที่จืดสนิท ไม่ว่ารสอะไรๆ ก็สู้รสน้ำที่จืดสนิท บริสุทธิ์ที่สุดไม่ได้...แต่บางครั้งคนเราต้องการรสปรุงแต่ง เช่น หวาน เค็ม ขม เปรี้ยว... ต้องการในรสต่างๆ นานา แต่ในที่สุดรสที่ดีที่สุดคือ "รสจืดสนิทของน้ำบริสุทธิ์" นั้นเอง


 :96: :96: :96: :96: :96: :96:

ผู้เขียนเองและหลายๆ ท่านก็เชื่อเหมือนกันว่า...ชีวิตของคนเราที่มีการปรุงแต่ง มีการตกแต่งก็เพื่อให้ความเป็นอยู่ของชีวิต "เรา" มีรสชาติ แล้วเราก็ "เพลิดเพลิน" ไปกับการปรุงแต่งเหล่านี้และมีความสุขสบายไปได้ระดับหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อไรเราเข้าถึง "ความจริง" และรู้เท่าทันตลอด แม้จะเกิดสึนามิในไทยหรือ แผ่นดินไหวในเนปาลอย่างไร และจะเกิดภัยพิบัติอื่นๆ อีกกี่ครั้ง สิ่งนั้นก็บอกเองว่า "ความจริง" นั้นแหละจะเป็นรสที่เลิศที่สุด

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าถึงความจริงจะมีจิตใจเบิกบานสดใสด้วยความสุขที่บริสุทธิ์ คือ "เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา" เหมือนอย่าง "น้ำ" ที่มีรสจืดสนิทอย่างนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการในที่สุดอย่างแน่นอน นั่นคือ...การดำรงชีวิตดี อยู่ดี...อย่างมี "สติ" ด้วยการมี... "สมาธิ"...เข้าถึงรสสัจจะธรรมแห่งชีวิตที่หนีไม่พ้น คือ "ความจริง" ที่ต้องรู้ที่ต้องเผชิญ ผ่านให้ตลอด...ให้ได้นั่นเองครับ


นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432113640
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ