ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แด่..เยาวชน ที่น่าสงสารที่สุด ในประเทศนี้.?  (อ่าน 1515 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29485
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

แด่..เยาวชน ที่น่าสงสารที่สุด ในประเทศนี้.?
รศ.เวทย์ บรรณกรกุล อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รายงาน

สืบเนื่องจากคำพูดที่ปรากฏตามสื่อทีวี สิ่งพิมพ์ หรือแม้กระทั่งสื่อออนไลน์ “...อยู่ฟรี กินฟรีทุกอย่าง ... เอาเปรียบเยาวชน...” ยังมีคำพูดในประเด็นที่เกี่ยวข้องกันนี้ เช่น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จัดการเรียนการสอนทางโลกมากเกินไป หรือเป็นคำพูดอื่น ๆ ที่สื่อความหมายให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเข้าใจว่า มหาจุฬาฯ จัดการเรียนการสอนนอกพระธรรมวินัย เป็นต้น

วิชาทางโลกในความหมายตามพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ทรงระบุไว้ว่า “วิชาชั้นสูง” มีความหมายกว้างแคบแค่ไหนเพียงไร หรือคำว่า วิชาทางโลกในความหมายของผู้พูด คือ วิชาว่าด้วยอะไร เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง ที่ควรนำมาชี้แจงต่อสาธารณชนให้รับรู้รับทราบ

 :96: :96: :96: :96: :96:

ผมยังไม่แสดงความคิดเห็นตามสติปัญญาที่เรียนแบบวัดๆ ยังไม่ขอเขียนถึงประเด็นเหล่านี้ เพราะยังรู้สึกติดใจกับคำพูดว่า “...อยู่ฟรี กินฟรีทุกอย่าง เอาเปรียบเยาวชน...” คำพูดโดยละเอียด ผู้เขียนไม่ได้ตามเข้าดูใน youtube เห็นเฉพาะข้อความตัดต่อที่ลูกศิษย์โพสมาให้อ่านเท่านั้น ได้เขียนความคิดเห็นแสดงหลักการปฏิบัติขั้นพื้นฐานของพุทธบริษัทจะพึงปฏิบัติต่อกันขั้นต้นไปแล้ว

ในข้อความ facebook ส่วนตัว ยังมีคำต่อท้าย “...... เอาเปรียบเยาวชน” เป็นคำที่ผมรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ เป็นถ้อยคำที่ผมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาวาสนาของตนเองที่สร้างกุศลกรรมมาน้อยในชาติก่อน ๆ จึงเกิดเป็นลูกคนจน เป็นถ้อยคำที่ผมมองดูภาพพระเณรเรียนหนังสือในโรงเรียนวัดเรียนพระปริยัติธรรมแผนกนักธรรมบาลี หรือแม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ผมสอนอยู่ ด้วยความเวทนาและสงสารท่านเหล่านี้ที่สุด

ผมเห็นภาพพระเณรเรียนหนังสือเหล่านี้ น้ำตาผมไหล... ไม่ได้ร้องไห้ครับ แต่เป็นน้ำตาปลื้มปีติที่ยังมีผู้ให้โอกาสท่านเหล่านี้ มีโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาโดยได้มองพระบรมฉายาลักษณ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕


 :03: :03: :03: :03: :03:

องค์พระปิยมหาราช ผู้ทรงสถาปนามหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นน้ำตาที่ปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณที่องค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช ที่ทรงเห็นความทุกข์ยากพสกนิกรของพระองค์กลุ่มหนึ่ง พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ขึ้นเนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๖ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๔๖

โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๑๓ ล้านบาท เป็นทุนปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้มีโอกาสศึกษาพุทธศาสนาขั้นสูงจากสถาบันพุทธศาสนาในประเทศ อันได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และกองบาลีสนามหลวง เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๗ เป็นต้นมา ทั้ง ๒ พระองค์ และบุรพมหากษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาแบบพระสงฆ์ แบบมหาวิทยาลัยสงฆ์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้โอกาสทางการศึกษาสำหรับคนชนบทห่างไกล


 ask1 ans1 ask1 ans1

พระเณรบวชเรียนเอาเปรียบเยาวชน.?

คำพูดที่ผมคิดว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกแล้วในประเทศนี้ หลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเลิกทาสและไพร่นับแต่ พ.ศ. ๒๔๑๗ การพูดดูหมิ่นเหยียดหยามลูกทาสไพร่ทั้งหลาย เช่น “เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุก” เป็นคำพูดสำหรับเรียกลูกทาสในเรือนเบี้ย ก็เป็นอันเข้าใจว่า “ต้องถูกยกเลิกไปด้วยเช่นเดียวกัน” ไม่น่าเชื่อว่าความคิดเห็นเช่นนี้เป็นความคิดเห็นที่แสดงออกด้วยคำพูดของคนระดับปัญญาชนที่มีการศึกษาสูง จบการศึกษาในสถาบันอันสูงส่งหลายสถาบัน และเปล่งเป็นคำพูดออกมาในลักษณะให้คนเห็นด้วยคล้อยตามตนว่า “....คนบวชเรียนเขียนอ่าน..... เอาเปรียบเยาวชน”

คำพูดที่แสดงถึงการเอารัดเอาเปรียบกันเป็นคำพูดแบ่งชนชั้นวรรณะ คำถามเกิดขึ้นในใจ คนบวชเรียนเหล่านี้ ท่านจะเอาเปรียบเยาวชนได้อย่างไร? ผมอยากจะแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความคิดเห็นที่ต้องเขียนโดยอาศัยหลักการ ไม่ต้องอ้างอิงหลักตรรกะเชิงวิชาการใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นข้อคิดความเห็นอาศัยความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ ที่อยากจะแสดงออกต่อสาธารณชน ความรู้สึกนี้ถูกหรือผิดผมไม่ทราบ ผมอยากแสดงความรู้สึกส่วนตัวของผมอย่างนี้


 ask1 ans1 ask1 ans1

เยาวชนที่บวชเรียนไม่ใช่คนไทยหรือ.?

ผู้ที่บวชเรียนในองค์กรจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ทั้งหมด รวมทั้งพระเณรนิสิตในมหาวิทยาลัยสงฆ์เหล่านี้ คือลูกตาสี ยายสา ลุงมีป้ามา นามสกุล แบบบ้านนอก ๆ เยาวชนเหล่านี้ มีพ่อแม่เป็นคนไทย เชื้อสายไทย บรรพบุรุษของพระเณรเหล่านี้ ร่วมกันสู้รบกู้ชาติบ้านเมืองเหมือน ๆ กับพ่อแม่คนที่ออกมาพูด

พระเณรเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน? ผมมองเห็นท่านเหล่านี้ คือ เยาวชนของชาติไทยทั้งนั้น ท่านเหล่านี้ โดนสังคมเอารัดเอาเปรียบมาตั้งแต่เกิด บางรูปเกิดด้วยรูปแบบบ้านนอกหมอตำแย เติบโตมาด้วยข้าวที่แม่เคี้ยวให้แหลกละเอียดแล้วก็คายออกใส่ใบตองย่างไฟสำหรับเลี้ยงลูกน้อยกิน ไม่ต้องไปพูดถึงสิทธิการรักษาพยาบาลใด ๆ ที่จะพึงได้รับสำหรับเด็กชนบทห่างไกล ยามเจ็บป่วยพ่อแม่ก็พาไปหาหลวงตา กินน้ำต้มรากไม้หลวงตา เติบโตในวัยเข้าเรียนชั้นประถม ก็เข้าเรียนแบบทั้งโรงเรียนมีแค่ครูใหญ่กับภารโรง มีหลวงตาแก่ ๆ รูปหนึ่งเป็นผู้เริ่มตั้งโรงเรียนแล้วสอนด้วยตัวเอง ไม่มีหรอกครับชุดนักเรียนสวย ๆ งาม ๆ ไม่มีหรอกครับสำหรับรองเท้าหนังสวย ๆ ไม่มีหรอกครับรถคันงามที่คุณพ่อคุณแม่ขับไปส่งโรงเรียน โรงเรียนบ้านนอกชนบทมีสภาพอย่างไร เมื่อ ๒๐ – ๓๐ ปีก่อน

คนที่ออกมาพูดไม่รู้หรอกครับมีสภาพการเรียนการสอนอย่างไร เมื่อจบประถมหก มีคติเป็น ๒ อย่าง คือ ทำไร่ไถนาตามแบบบรรพบุรุษกับไปบวชเรียนอยู่กับหลวงตา ผมเกิดความรู้สึกสลดหดหู่กับคำพูดว่า “คนบวชเรียน เอาเปรียบเยาวชน” เพราะเป็นถ้อยคำดูถูกดูแคลนคนยากจน ดูถูกตาสี ตาสา ลุงมีป้ามาบ้านนอก ในสมองคนที่พูดเช่นนี้ มองตาสี ตาสา ลุงมีป้ามาเป็นคนชาติไหนกัน ท่านจึงมองผู้บวชเรียนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย ไม่ใช่เยาวชนไทยเลยหรือครับ คนที่บวชเรียนในสถาบันของสงฆ์ต่างหาก คือ กลุ่มเยาวชนที่น่าสงสารที่สุดในประเทศนี้


 ask1 ans1 ask1 ans1

ใครเอาเปรียบใคร.?

กล่าวเฉพาะนิสิตในมหาวิทยาลัยสงฆ์ หากมีการสำรวจพระเณรทั้งหมด คงเป็นลูกชาวนา ชาวไร่ กลุ่มเกษตรกร ทำกสิกรรม ร้อยละ ๙๐ ท่านเหล่านี้มีสิทธิ์เท่าเทียมที่จะได้รับการศึกษาอย่างดีเหมือนโรงเรียนดัง ๆ ตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม แต่รัฐจัดให้ท่านได้ไหม? คนที่จะได้เรียนต่อภาครัฐ ชั้นมัธยม อุดมศึกษา ก็มีแต่ลูกท่านหลานเธอ แล้วคนจนไปไหน คนจน ๆ ก็เข้าวัดไปหาหลวงตาที่คนเมืองมีการศึกษาสูง มองท่านว่า พระหลวงตาบ้านนอกกินฟรีอยู่ฟรีไม่มีประโยชน์อะไรนี่แหละครับ เด็กบ้านนอกเป็นแสนที่ยากจนลูกชาวไร่ ชาวนามาบวชเรียนกับหลวงตาเฝ้าวัด ถ้าไม่มีวัด ไม่มีสถาบันสงฆ์ ไม่มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ ประเทศชาติบ้านเมืองเรา คนจะไร้การศึกษากันมากขนาดไหน แล้วจะสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติขนาดไหน

ดังนั้น ผมจึงบอกว่า ใครก็ตามที่มีความเห็นว่า “พระเรียนฟรี อยู่ฟรีกินฟรีทุกอย่าง เอาเปรียบเยาวชน” เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อว่า จะหลุดออกมาจากปากมนุษย์ได้ คำพูดแบบนี้กำลังแบ่งแยกชนชั้น เพราะท่านไม่เห็นเลยว่า พระเณรเหล่านี้ คือ คนไทย พระเณรเหล่านี้ คือ ลูกหลานท่าน พระเณรเหล่านี้ คือเยาวชนของชาติไทย เหมือน ๆ กับลูกของท่านมิใช่หรือ ไม่แน่เหมือนกันนะครับ ถ้าไม่มีวัด ไม่มีโรงเรียนปริยัติสอนนักธรรม บาลี วิชาสามัญ หรือกระทั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาฯ มหามกุฏฯ ผมอาจจะเป็นขี้ยา เร่ร่อนขายยาบ้าหน้าปากซอยบ้านใครสักคน


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ผมไม่อยากพูดเลยว่า พระสงฆ์สามเณรที่บวชเรียนเหล่านี้ต่างหากที่โดนเอารัดเอาเปรียบจากสังคมนี้ หันไปมองสถาบันที่จัดการศึกษาระดับเดียวกันดูครับ ห้องสมุด ห้องแลบ เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมกันเป็นพันล้าน รัฐได้ผลิตประชากรให้มีคุณภาพได้ระดับไหน ผมไม่มีความรู้เรื่องสังคม เรื่องการบริหารจัดการอะไรหรอกครับ ผมเรียนมาแบบวัด ๆ เติบโตในวัด คิดแบบวัด ๆ ผมยังสงสัยอยู่ว่า เหตุใด World Economic Forum (WEF) ได้รายงานขีดความสามารถในการแข่งขันด้านคุณภาพการศึกษา จึงจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับที่ ๘ ของกลุ่มประเทศอาเซียน


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150616/208158.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 17, 2015, 07:41:28 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

bajang

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 325
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: แด่..เยาวชน ที่น่าสงสารที่สุด ในประเทศนี้.?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2015, 09:13:07 pm »
0
พระเณร เอาเปรียบ เยาวชน ที่เรียน แต่ลืมไปว่า เณรก็เป็นเยาวชน แต่เณร มีกรอบศีล ที่ต้องระวัง มากกว่า การเรียนการศึกษา สายสามัญของ พระเณร มีความเสี่่ยง มากนะคะ  เพราะว่า ที่บริษัท ฉัน และ หน่วยงานราชการ ส่วนใหญ่ จะไม่รับ ป.ตรี พุทธศาสนบัณฑิต เข้ามาทำงานนะคะ เพราะไม่รู้จะเอาทำงานด้านไหน นอกจาก การบุคคล ทรัพยากร ซึ่งตำแนหน่งงาน มีน้อย


   เคยฟัง พระรูปหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า จบ ปธ. ลาสิกขาบถ ออกไปสมัครงาน สมัคร อยู่ 3 ปีไม่มีที่ไหนรับทำงาน ท่านก็เลยไปเรียน ทางโลก การศึกษานอกโรงเรียน 3 ปี จง ม.ปลายเข้าสมัครงาน จึงได้งาน

    จะเห็นได้ว่า  ปธ. สมัครไม่ได้  แต่ วุฒิ ม.ปลาย ( กศน. ) สมัครงานได้ ตามความเป็นจริง แล้ว วุฒิ กศน. ในสายบริษัท อย่างของดิฉัน ถือว่า เป็น วุฒืเกรดต่ำ ดังนั้นที่ บ. ไม่รับคนจบวุฒิ นี้เช่นกัน นะคะ แต่อย่างไร ที่พูดเปรียบเทียบให้ฟัง นี้ ก็เพื่อให้เห็นว่า ปธ. ต่ำกว่า วุฒิ กศน.อีก

     ดังนั้น พระเณร ที่ไป เรียน มจร. ได้ ป.ตรี ป. โท ป.เอก ถ้าอยู่เป็นพระ ก็ดูจะมีเกรียติ ดีนะคะ แต่ถ้าลาสิกขาบถ ออกมาใช้วุฒิ สมัคร งานแข่งสอบ กพ. แล้ว พูดตรง ๆ เลยคะ โอกาสมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นคะที่ จะสมัครงาน สอบได้ พวก อนุศาสนน์ รับจริง ก็ตายยาก นะคะ เพราะเขาอยู่ กันจนเกษียณ นะ ไม่ใช่ ตำแหน่ง มันมีมากซะ จนขาดหาไม่ได้ แถม จะได้ต้อง มีดีกรี ปธ.9 ด้วย ซึ่งมันหายากมาก ๆ นะคะ ที่พระเณร จบ ปธ.9 จะเสี่ยงลาสิกขาบถ ออกมาเป็น ฆราวาส อาจจะอดตายได้นะคะ เห็นมาหลายท่านแล้ว เห็นออกมาได้ ปีสองปี ก็กลับไปบวช แล้ว เพราะอะไร หรือ คะ เพราะทางโลก เขา ชี้นิ้วจิกหัว ให้ทำงาน นะคะ ไม่ใช่ มาพูดกันไพเราะ อมน้ำหวาน พูดกัน นะคะ

    5555555  :41:    ( กรรม จริง วันนี้ พูดมาก ไปแล้ว )

 
บันทึกการเข้า