พิพิธภัณฑ์สักทอง วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร
ฟินขั้นสุด! เที่ยว 5 สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในกรุงที่คุณคู่ควร
หลังจากที่ ไทยรัฐออนไลน์ เคยพาไปอิ่มอร่อยที่ถนนคนเดินคลองผดุงกรุงเกษมไปแล้ว นอกจากนี้ เส้นทางนี้ยังมีสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่ชาวกรุงบางคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปตามรอยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์รอบๆ คลองผดุงฯ กันดูบ้าง
คลองผดุงกรุงเกษมเป็นคลองที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะเห็นว่าบ้านเมืองเจริญขึ้น จึงขุดคลองนี้ขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2394 ซึ่งถือเป็นเส้นทางสำคัญ มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มาดูกันดีกว่าว่าจะมีสถานที่สำคัญและมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามมาเลย1. พิพิธภัณฑ์สักทอง วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร
อยู่ในบริเวณวัดเทวราชกุญชร เป็นบ้านไม้สักทองเดิมชื่อว่า “บ้านแก้ว” เป็นทรงปั้นหยาประยุกต์ มี 2 ชั้น เสาสร้างด้วยไม้สักทองขนาดสองคนโอบ มีทั้งหมด 59 ต้น พบเสาที่อายุมากที่สุดคือ 480 ปี เป็นศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านพระพุทธศาสนา และเป็นแหล่งเรียนรู้การอนุรักษ์ไม้สักทอง ภายในพิพิธภัณฑ์มีพระสยามเทวาธิราช พระบรมสารีริกธาตุ พระคลังมหาสมบัติ ให้กราบสักการะบูชา โดยทางพิพิธภัณฑ์จัดเตรียมดอกบัวไว้สำหรับสักการะบูชาอีกด้วยไม้สักทอง สัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์นี้
พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
พระธาตุของพระอริยสงฆ์
จุดที่น่าสนใจคือ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกที่รวบรวมหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสของอดีตสมเด็จพระสังฆราช สมัยรัตนโกสินทร์ 19 องค์ และหุ่นขี้ผึ้งพระอริยสงฆ์ 18 รูป ขนาดเท่าองค์จริง โดยจะมีเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ด้วย และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ไม่กี่แห่งที่อนุญาตให้ผู้เข้าชมถ่ายรูปได้ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือจะโชว์เพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ตามสะดวกเลยหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสของอดีตสมเด็จพระสังฆราช
บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง
สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์สักทองแห่งนี้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชม 30 บาท ทั้งบุคคลทั่วไปและชาวต่างชาติ นักเรียนนักศึกษาแสดงบัตร 15 บาทเท่านั้นวัดเทพศิรินทร์
2. วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร (วัดเทพศิรินทร์)
อยู่บริเวณเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ติดกับโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2419 อุทิศเป็นพระราชกุศลถวายสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ผู้เป็นพระราชชนนี และเป็นวัดเดียวที่มีสุสานหลวงตั้งอยู่ภายในวัด โดยสุสานหลวงนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระราชทานเพลิงพระศพเจ้านายและพระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5เครื่องราชอิสริยาภรณ์จำลอง 5 ตระกูล
สิ่งที่น่าสนใจคือ ภายนอกพระอุโบสถมีเสาขนาดใหญ่ล้อมรอบและตกแต่งอย่างงดงาม พอเข้าไปภายในรับรองว่าต้องตกตะลึงพรึงเพริดในความงาม คือมีการตกแต่งด้วยลายรดน้ำ ซุ้มประตูหน้าต่างทั้งภายในภายนอกสลักลายอย่างสวยงาม เพดานสลักรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์จำลอง 5 ตระกูล ปูพื้นด้วยหินอ่อน ความอลังการงานสร้างของพระประธานที่ประดิษฐานบนฐานชุกชีทรงปราสาทจตุรมุข เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นพระประธานบนฐานชุกชีทรงปราสาทจตุรมุข
มีสมุดธรรมเล่มจิ๋วให้ผู้เข้าชม
นอกจากนั้นในบริเวณวัดยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ที่นำพันธุ์มาจากเมืองพุทธคยา ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับต้นที่อยู่ในเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และวัดเทพศิรินทร์แห่งนี้ยังสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้พุทธประวัติสมัยใหม่ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไร ตามมาดูที่ข้อต่อไปกันเลยจำลองฉากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
3. พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนา วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
พิพิธภัณฑ์พระพุทธศาสนาแห่งแรกในประเทศไทยจัดแสดงอยู่ภายในอาคาร ร.ศ. 109 มีลักษณะเป็นอาคารแบบตะวันตก เริ่มโครงการเมื่อปี พ.ศ. 2551 จากความศรัทธาที่ต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ด้วยการใช้สื่อด้าน Computer graphic,Video Animation และ Presentation ผสมผสานอย่างลงตัวมาใช้ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้กับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนานั้น ทำให้เปิดมุมมองการเรียนรู้ในยุคโลกาภิวัตน์ ให้เข้าใจง่ายและไม่น่าเบื่อเหมือนในหนังสือเรียน โดยใช้เวลาในการเข้าชมประมาณ 45 นาที
พุทธประวัติแบบ 4D
ไฮไลต์ของที่นี่คือ ภายในห้องที่จัดแสดงเรื่องราวของพระพุทธเจ้าโดยการนำเสนอออกมาในรูปแบบ 4D นั้น มีการตรัสรู้ของพระองค์โดยมีอุปสรรคต่างๆ มาขัดขวางเพื่อทดสอบจิตใจ เรื่องราวการออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า และสุดท้ายเป็นเหตุการณ์วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา บอกได้เลยว่าใช้กราฟิกได้เหมาะสม สวยงาม ตื่นตาตื่นใจมากเสมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง เป็นที่ประทับใจของผู้เข้าชมมาก แอบกระซิบว่าอย่ากะพริบตาเชียว
จำลองตอนที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์ จะมีการจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาของวัดเทพศิรินทร์ ข้าวของเครื่องใช้ในรัชกาลที่ 5 เช่น บาตร ตราปั๊ม ตาชั่ง ทั้งยังมีประวัติของเจ้าอาวาสตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และส่วนสุดท้ายจะเป็นการจำลองพระอุโบสถของวัดเทพศิรินทร์แห่งนี้เป็นระบบ 3D แสดงให้เห็นถึงความงดงาม พิถีพิถันของการสร้างสถาปัตยกรรมนี้ สำหรับท่านใดที่สนใจหรือจะมาเป็นหมู่คณะ แนะนำให้ติดต่อมาล่วงหน้าที่หมายเลขโทรศัพท์ : 02224 7618-22, 0 2224 7726-30, 08 3718 4111วัดเบญจมบพิตรฯ ในมุมสวยๆ ที่คุ้นเคย
4. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
วัดเบญจมบพิตร แปลว่า “วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5” หรือเป็นที่รู้จักของบรรดานักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า "The Marble Temple" เพราะเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างด้วยหินอ่อนชั้นดีจากอิตาลี ผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมแบบไทยโบราณเป็นทรงจตุรมุข หลังคาซ้อน 4 ชั้น มีระเบียงรอบด้านหลัง ทำให้วัดเบญจมบพิตรแห่งนี้มีความวิจิตรตระการตาและมีเอกลักษณ์ที่น่าหลงใหล
องค์พระพุทธชินราชจำลอง สวยงามมาก
ภายในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร
สิ่งที่น่าสนใจคือภายในพระอุโบสถมีพระพุทธชินราชจำลองขนาดใหญ่ สีเหลืองทองคำอร่ามตัดกับพื้นผนังสีน้ำเงินคราม ประกอบกับการออกแบบไฟไว้ด้านหลัง ช่วยสร้างบรรยากาศความน่าเลื่อมใสและสวยงามให้แก่พระพุทธชินราช เป็นจุดที่สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี แนะนำว่าถอดรองเท้าไว้ดีๆ เพราะนักท่องเที่ยวเยอะ รองเท้าอาจปะปนหรือหายได้จ้าห้องจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัย ร.4
พระแท่นบรรทม
บริเวณวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายอย่างห้องจัดแสดงเครื่องใช้ต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่รวบรวมไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ยัง...ยังไม่หมดนะจ๊ะ ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญและน่าสนใจอีก นั่นคือพิพิธภัณฑ์พระอนุสรณ์ อ.ป.ก. และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติวัดเบญจมบพิตร ฮั่นแน่ อยากรู้ละสิว่าจะเป็นยังไง ถ้าอยากรู้ตามมาดูกันเลยดีกว่าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติวัดเบญจมบพิตร
5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติวัดเบญจมบพิตร
อยู่บริเวณระเบียงวิหารคด ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นการจัดแสดงพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ในไทยและต่างประเทศ ที่ได้รวบรวมไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ทั้งในสมัยเชียงแสน สุโขทัย ลพบุรี แบบประเทศพม่า ญี่ปุ่น อินเดีย ซึ่งแต่ละแบบจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมความศรัทธา
มีองค์พระสีดำมากมายหลายองค์ให้ชม
จุดที่น่าสนใจและสะดุดตาคือ พระพุทธรูปที่เรียกได้ว่า สวยงามที่สุด เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย จะมีความอ่อนช้อยสวยงามตามแบบฉบับความรุ่งเรืองในสมัยนั้น และพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิปางบำเพ็ญทุกรกิริยา แบบกรีก ปากีสถาน เป็นจุดที่ไม่ว่าใครที่พบเห็นต้องเข้ามาชมความประณีตในการสร้างสรรค์ผลงานนี้ สำหรับท่านใดที่หลงใหลในความสวยงามแบบประยุกต์ หรือจะเข้ามาเสพศิลปะการสร้างสรรค์ปฏิมากรรม พระพุทธรูปหลากหลายสมัย ก็เข้ามาชื่นชมกันได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เป็นคุณค่าที่ควรคู่และคู่ควรกับการมาชมจริงๆ
ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวัน 8.00-17.00 น.
โดยมีค่าธรรมเนียม-ค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 20 บาท เท่านั้นจ้าขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/503769