ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงพ่อล้อมผู้เคย'ลงนรกบนพื้นโลก ขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน'  (อ่าน 1359 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


หลวงพ่อล้อมผู้เคย'ลงนรกบนพื้นโลก ขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน'

หลวงพ่อล้อม วัดดอนกระสังข์พระผู้เคย'ลงนรกบนพื้นโลก ขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

“ประวัติฉันไม่ใช่เป็นพระที่ดีเด่อะไร เมื่อครั้งเป็นฆราวาส ก่อนที่จะบวชไม่ต้องพูดถึง ตอนที่เป็นฆราวาสฉันไม่ใช่คนดี เรื่องคุกตะราง ซ่องโสเภณี รวมทั้งอาบอบนวดฉันผ่านมาหมดแล้ว ฉันตอบได้ทุกเรื่อง แต่เมื่อบวชเป็นพระขอเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ต่อพระศาสนานะ”

นี่เป็นบทเริ่มต้นของการสนทนาธรรมกับ หลวงพ่อล้อม กตคุโณ เจ้าอาวาสวัดดอนกระสังข์ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา พระผู้มีประวัติและใช้ชีวิตทางโลกอย่างโชกโชน ชนิดที่รียกว่า “ลงนรกบนพื้นโลก ขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน” มาแล้ว


 :96: :96: :96: :96:

หลวงพ่อล้อม เกิดแถวหมู่บ้านใกล้ๆ วัดพระญาติ พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อครั้งเป็นฆราวาสก็ทำกิจเหมือนประชาชนทั่วไป คือช่วยพ่อแม่ทำนา และยามว่างก็จะติดตามหลวงตา ซึ่งเป็นตาแท้ๆ ของท่านเอง ไปเรียนสรรพวิชาจากหลวงพ่อกลัน วัดพระญาติ อยู่บ่อยๆ เมื่อโตมาเป็นหนุ่ม หลวงตาได้สอน วิชาอาคมที่ได้เรียนมาจากหลวงพ่ออั้นจนหมดสิ้น ตั้งแต่ท่านยังไม่ได้บวชเรียน

อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่สืบทอดวิชาจากตา ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ มีคาถาบทหนึ่งที่หลวงพ่อล้อมบอกว่า เป็นที่สุดก็ความเมตตา
    โดยเริ่มจาก ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วให้บริกรรมว่า
    "พุท ธัง บังจะขุ ธัมมัง บังจะขุ สังตัง บังจะขุ นะ อยู่ซ้าย โม อยู่ขวา พุท อยู่หน้า ทา อยู่หลัง โม อยู่กลางกระหม่อม นะกันตัง อะระหังพุทโธ (บริกรรม ๓ ครั้ง)
     แม่ธรณีเจ้าเอ๋ยอยู่หรือยัง ให้ตอบว่า "อยู่" แล้วบริกรรมว่า "ขอฝากตัวลูก สังขะตังโลกวิทู"
     จากนั้นให้หยิบดินขึ้นมาสักหยิบมือแล้วป้ายที่หัว คาถาบทนี้เป็นที่เลื่องลือสำหรับนักเลงในอดีต และคาถาบทนี้ก็ใช้บริกรรมทุกครั้ง


 :25: :25: :25: :25:

นอกจากนี้หลวงพ่อล้อมยังขึ้นชื่อว่าเป็นพระหมอยาอีกด้วย ตำรับยาแผนโบราณหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าสามารถรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งโบราณาจารย์ใช้ คือ ให้เอาไม้สัก เขาควาย สารส้ม (อย่างละหยิบมือ) ต้มน้ำดื่มกินเพียงครึ่งแก้วเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่ารักษาได้จริง ทั้งๆ ที่คนโบราณใช้กันมานับร้อยปี

หลวงพ่อล้อมบอกว่า บวชๆ สึกๆ มาหลายหน ครั้งสุดท้ายก่อนจะบวชมาขับรถให้หลวงน้า ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาส จากนั้นก็ตัดสินใจบวชและไม่คิดว่าจะบวชนานขนาดนี้ แต่เมื่อบวชแล้วคิดว่าสร้างประโยชน์ได้มากกว่าเป็นฆราวาส และไม่ได้คิดจะมาเป็นเจ้าอาวาสอะไรเลย อยากให้พระหนุ่มๆ มาเป็นเจ้าอาวาสจะได้อยู่เป็นเจ้าอาวาสนานหน่อย ส่วนตัวฉันจะตายวันไหนก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่แล้ว


 st12 st12 st12 st12

เมื่อพูดถึงการเป็นเจ้าอาวาส โดยเฉพาะวัดบ้านนอก วัดที่ห่างไกลความเจริญ ฉันว่ามันเหนื่อย ประมาณว่างานทุกอย่างในวัดอยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด แม้แต่จานชามที่ญาติโยมกินทิ้งไว้ หากไม่มีใครล้างฉันก็ต้องล้างเองซึ่งมีอยู่บ่อยครั้ง ส่วนต้นหญ้าใบไม้ที่ขึ้นและร่วงหล่นในบริเวณวัดที่โล่งเตียนและสะอาดก็ฉันนี่แหละเป็นคนทำ หลายคนมาวัดเดินผ่านฉันไปโดยคิดว่าฉันเป็นพระลูกวัด เป็นหลวงตาแก่ๆ ซึ่งฉันก็รู้สึกดี เพราะคนมองฉันเป็นพระธรรมดารูปหนึ่งเทานั้น

สำหรับคำพูดที่ว่า “ลงนรกบนพื้นโลก ขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน” หลวงพ่อล้อมอธิบายให้ฟังว่า ที่ว่าลงนรกบนพื้นโลกก็เพราะครั้งหนึ่งเคยติดคุก ทุกๆ วันจันทร์จะรอญาติพี่น้องไปเยี่ยมเพื่อรอรับของเยี่ยมราวกับเปรตรอรับส่วนบุญ ชีวิตในคุกไม่ต่างจากนรก ซึ่งนับวันคนก็เดินเข้ามากขึ้น ส่วนขึ้นสวรรค์บนพื้นดิน นอกคุกนี่แหละคือสวรรค์ ที่คนในคุกถวิลหา แต่คนนอกคุกกลับไม่รู้เลยว่าชีวิตแบบปกติธรรมดานี่แหละคือสวรรค์บนพื้นดิน


 st11 st11 st11 st11

ทั้งนี้หลวงพ่อล้อมได้พูดถึงเหตุที่บวชตอนแก่ไว้อย่างน่าฟังว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน ไม่มีใครแก่เกินบวช ฉันรบกับทางโลกมามาก ส่วนใหญ่จะแพ้ เลยคิดมาเอาชนะทางธรรมบ้าง เมื่อบวชแล้วแม้จะไม่สามารถเอาชนะทางธรรมได้เสียทั้งหมดทีเดียว แต่ก็ตั้งใจจะสร้างประโยชน์ต่อพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด”

แม้จะเป็นพระแก่ๆ ไม่ได้จบเปรียญธรรมใดๆ ทำให้ดูเหมือนว่า หลวงพ่อล้อมไม่มีธรรมะอะไรลึกๆ สอนญาติโยม แต่เมื่อที่ท่านพูดถึงธรรมก็ลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ท่านพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า

“วันนี้เราจะเลือกเข้าวัดแบบไหน วัดอยู่ใกล้บ้านแท้ๆ แต่คนดันเดินเลยวัดไปเข้าคุกเข้าตะราง วันนี้ไม่เข้าวัดวันข้างหน้าก็ต้องเข้าอยู่ดี จะเดินเข้าวัดด้วยขาตัวเองหรือ จะนอนมาแล้วให้พระเดินนำหน้าถือเชือกจูงเข้าวัด”



ร่วมบุญสร้างศาลา

“ใครจะสร้างอะไรที่วัดแห่งนี้ให้สำเร็จก็ฝันไปเถอะ” นี่เป็นอาถรรพณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้การสร้างศาสนสถานของวัดดอนกระสังข์ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆ ที่วัดอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะเดียวกันด้วยอาถรรพณ์ของวั ดแม้จะเคยเป็นวัดร้างแต่ไม่มีใครบุกรุกเป็นที่ทำกิน

โบสถ์วัดดอนกระสังข์เป็นโบสถ์มหาอุด สร้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีหลวงพ่อเงินเป็นพระประธานในอุโบสถ์ ที่เลื่องชื่อในความศักดิ์สิทธิ์เรื่องโชคลาภ ช่วงหนึ่งวัดแห่งนี้เกือบกลายเป็นวัดร้าง

เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๕ หลวงพ่อล้อมได้ย้ายมาอยู่ที่วัดดอนกระสังข์ มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสจนถึงปัจจุบัน แล้วค่อยๆ สร้างวัดเรื่อยมา ปัจจุบันได้หาทุนเพื่อสร้างศาลาหลังใหม่อยู่

อย่างไรก็ตามขณะนี้หลวงพ่อล้อมกำลังก่อสร้างศาลาอเนกประสงค์ โดยได้จัดสร้าง “พระขุนแผนดวงเศรษฐี ชูชกขนาดบูชา สูง ๑๓.๙๐ นิ้ว รุ่น เศรษฐีพันล้าน และ เหรียญพระพรหม หลังนารายณ์ทรงสุบรรณ” เพื่อมอบเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมบุญ ผู้มีจิตศรัทธาร่วมสร้างศาลากับหลวงพ่อล้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.๐๘-๙๗๗๒-๖๙๑๒ หรือ ๐๘-๑๕๘๑-๗๙๖๖



พระขุนแผนดวงเศรษฐีหลวงพ่อล้อม

หลวงพ่อล้อม บวชตอนอายุมากแล้ว ประมาณ พ.ศ.๒๕๓๖ ทั้งนี้หากจะนับพรรษารวมทั้งไปเปรียบเทียบกับพระเกจิอื่นๆ ถือว่าน้อยมาก หลายครั้งหลวงพ่อล้อมถูกชาวบ้านและพระด้วยกันพูดให้ได้ยินเข้าหูบ่อยครั้งว่า “บวชไม่กี่พรรษามาเป็นพระเกจิอาจารย์ได้อย่างไร” แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับพรรษาที่น้อย คือ “กิจนิมนต์ปลุกเสกวัตถุมงคลที่มาก ไม่แพ้พระเกจิอาจารย์ที่บวชนาน"

หลวงพ่อล้อม บอกว่า ในพระธรรมวินัยไม่ได้พูดถึงพระเกจิอาจารย์เลยสักตัว คนมาเรียกพระเกจิอาจารย์ภายหลังนี่เอง ฉันเองก็ไม่ใช่เป็นพระเกจิอาจารย์ ปลุกเสกวัตถุมงคลทุกครั้งก็ต้องพึ่งบารมีพระเกจิอาจารย์จากวัดอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องแปลก คนเอาพระไปใช้มีประสบการณ์ให้ได้ยินเข้าหูเรื่อยมา

การสร้างวัตถุมงคลของวัดล้วนเอาเงินมาสร้างวัดทั้งสิ้น โดยล่าสุดได้สร้าง พระขุนแผนดวงเศรษฐี ชูชกขนาดบูชา สูง ๑๓.๙๐ นิ้ว รุ่น เศรษฐีพันล้าน และเหรียญพระพรหม หลังนารายณ์ทรงสุบรรณ
     พระขุนแผนดวงเศรษฐี ประกอบด้วย
     ๑.ขุนแผน-ชุดกรรมการพิเศษ
     ๒.ขุนแผนเนื้อแดง ดำ ขาว ชมพู ตะกรุดเงิน /โรยมวลสารเก่าๆ ทุกองค์ และ
     ๓.เนื้อขาว ดำ/โรยมวลสารเก่า (แจกผู้มาร่วมงาน)



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151016/215243.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ