ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ออกพรรษา ออกศึก  (อ่าน 2719 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ออกพรรษา ออกศึก
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2015, 09:08:16 am »
0


ออกพรรษา ออกศึก
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม

เมื่อวันออกพรรษามาถึง นั่นหมายถึงช่วงเวลาอยู่กับที่ของพระภิกษุได้สิ้นสุดลง และช่วงเวลาแห่งการลาสิกขาของพระบวชใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น

 ask1 ans1 ask1 ans1

ลาสิกขาคืออะไร

ภาษาทางการของคำว่า ‘ลาสึก’ คือ ‘ลาสิกขา’ ไม่ใช่ ลาสิกขาบท อย่างที่ชอบเขียนกันผิดๆ

สิกขา หมายถึง การศึกษา แต่เป็นการศึกษาที่รวมถึงการปฏิบัติด้วย ลาสิกขาจึงหมายถึง “การบอกลาการปฏิบัติในศีล ๒๒๗ ข้อ” พระภิกษุผู้ไม่อาจปฏิบัติในศีล ๒๒๗ ข้อได้อีกต่อไปหรือมีเหตุจำเป็นต้องลาสึกจึงขอลาศีล ๒๒๗ ไปสู่ศีล ๕ ใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ เราจึงเรียกว่า ‘ลาสิกขา’

ลาสิกขาไม่ได้หมายถึง ‘ลาไตรสิกขา’ ถ้าหากหมายถึง ‘ลาไตรสิกขา’ ละก็เรื่องใหญ่เลย เพราะนั่นหมายถึงการบอกลาการปฏิบัติใน ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ อันเป็นหัวใจของการศึกษาพุทธศาสนา นั่นเท่ากับเป็นการหยุดปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งไม่ใช่ความหมายนี้


 ask1 ans1 ask1 ans1

วิธีการลาสิกขาทำอย่างไร

พระภิกษุผู้ลาสิกขากล่าวคำลาสิกขาต่อหน้าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเพียงรูปเดียวก็สามารถลาสิกขาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สงฆ์เป็นหมู่คณะ และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในโบสถ์หรือในเขตพัทธสีมา ลาสิกขาที่ไหนก็ได้

แท้จริงแล้วการลาสิกขาเป็นการประกาศยุติการเป็นนักบวชด้วยตนเอง คนอื่นเป็นเพียงผู้รับรู้เหตุการณ์เท่านั้น ในกรณีที่ไม่มีพระภิกษุ ในพระวินัยท่านอนุญาตให้คฤหัสถ์เป็นสักขีพยานให้ได้ โดยพระภิกษุผู้ลาสิกขาหันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปพร้อมกล่าวคำลาสิกขาต่อหน้าพระพุทธรูป โดยมีคฤหัสถ์นั่งเป็นสักขีพยานอยู่เบื้องหลังพระภิกษุ

การลาสิกขาถือเป็นพิธีกรรมที่ง่ายมาก ขอเพียงมีผู้รู้เห็นเป็นพยานเท่านั้นก็สำเร็จพิธี


 st12 st12 st12 st12 st12

คำลาสิกขา

คำลาสิกขากล่าวว่า “สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติมัง ธาเรถะ” เมื่อกล่าวคำนี้ต่อหน้าพระสงฆ์หรือบุคคลที่เป็นพยานถือว่าภิกษุผู้ลาสิกขาได้กลายเป็นคฤหัสถ์ไปในทันที เพราะคำลาสิกขาแปลว่า “ข้าพเจ้าลาสิกขา ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์”



ดอกออกพรรษา


ทำใจอย่างไรเมื่อลาสิกขา

โดยทั่วไปเมื่อลาสิกขาต่อหน้าอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านมักจะให้โอวาทแก่เราด้วยการตั้งจิตให้มั่นว่าเราต้องการละจากเพศสมณะจริงๆ ขณะกล่าวคำลาสิกขา ให้ทำจิตตั้งมั่นว่าบัดนี้เรากำลังจะกลายเป็นฆราวาสแล้ว ไม่ใช่พระอีกต่อไป หากเรายังรู้สึกตัวว่าเป็นพระจะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงเนื่องจากเราตัดความเป็นพระไม่ขาด เมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตฆราวาสทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจะกลายเป็นอาบัติโดยไม่รู้ตัวและมีความผิดเนื่องจากความเป็นพระยังคงอยู่

เวลาได้ยินคำสอนลักษณะนี้แล้วก็นึกขำอยู่ในใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะสามารถละวางความรู้สึกว่าเป็นพระได้ในทันทีหลังจากกล่าวคำลาสิกขาเช่นนั้น เพราะความเป็นพระที่อุตส่าห์สั่งสมบ่มเพาะมาตลอด ๓ เดือนยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกอย่างแน่นแฟ้น เป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ เราจะละวางความรู้สึกว่าเป็นพระได้ในทันที นอกเสียจากตอนบวชเป็นพระเคยปฏิบัติสติปัฏฐานกำหนดความเป็น ‘อนัตตา’ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ว่าตนเองไม่ใช่อะไรแม้แต่การเป็นพระก็เป็นเรื่องปรุงแต่ง ถ้ากำหนดเช่นนี้มาตลอด ๓ เดือนก็เชื่อว่าขณะลาสิกขาไม่จำเป็นต้องทำใจอะไรมากมาย เป็นเรื่องสบายๆ ไม่ต้องคิดปรุงแต่งว่าตนเองกำลังจะหลุดจากความเป็นพระ เพราะปกติเราก็ไม่ได้เป็นพระหรือเป็นอะไรกันอยู่แล้ว

แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยทั่วไปเวลาเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ ก็มักกำหนดความเป็นตัวเป็นตนว่า “ข้าพเจ้าเป็นพระภิกษุ” ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครมากำหนดว่าตนเองเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ครั้นเมื่อถึงเวลาลาสิกขาจึงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จู่ๆ เราจะละวางความเป็นพระได้ในทันทีโดยอัตโนมัติ

ในทางเดียวกันพระที่บวชระยะสั้น ๗ วัน ๑๐ วันแล้วลาสิกขา จู่ๆ จะให้ละวางความเป็นพระก็ดูเป็นเรื่องที่น่าสับสนอย่างไรชอบกล เพราะลำพังชั่วเวลา ๗ วัน ๑๐ วัน จะทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกตัวว่าเป็นพระได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้น้อยมาก

การจะรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นพระได้นั้นต้องใช้เวลาบ่มเพาะกันนานเป็นเดือนกว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นพระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่บวชระยะสั้น เมื่อถึงเวลาลาสิกขาคงทำใจกันสับสน เพราะตนเองเพิ่งบวชได้ไม่นานยังรู้สึกตัวว่าเป็นฆราวาส จู่ๆ จะให้รู้สึกตัวว่าเป็นพระแล้วก็สลับมาให้รู้สึกตัวว่าเป็นฆราวาสอีกทีในตอนสึกก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าจะทำให้สับสนภายใน

คำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ ‘ทำใจให้เป็นปกติ’ เพียงแค่กำหนดรู้ว่าขณะนี้กำลังเปลี่ยนสถานะจากพระเป็นคฤหัสถ์ก็เท่านั้นเอง หากยังรู้สึกตัวว่าตนเองเป็นพระก็ไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหาอะไร ในเมื่อความรู้สึกตัวว่าเป็นพระเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปละวางอะไร อาจจะดีเสียอีกตรงที่ความรู้สึกว่าเป็นพระที่ยังคงมีอยู่นั้นจะได้ต่อเนื่องเป็นกำลังใจแก่เราในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในเพศฆราวาสสืบต่อไป



ดอกออกพรรษา


ออกพรรษา ออกศึก

สมัยก่อนเมื่อลาสิกขาแล้วทิดสึกใหม่มักจะลดศีลตนเองลงมาให้เหลือศีล ๘ และอยู่วัดสัก ๒-๓ วันก่อนจะออกจากวัดไปผจญโลกอีกครั้งเพื่อที่ว่าใจและกายจะได้ค่อยๆ ปรับตัว ไม่ใช่ว่าพอสึกแล้วออกจากวัดทันทีด้วยศีล ๕ อันนั้นจะทำให้ออกไปผจญโลกแบบเอ๋อๆ

ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป คนมีเวลาน้อยลง พอสึกแล้วก็ต้องรีบออกไปหางานทำ จึงทำให้บางคนปรับสภาพจิตไม่ทันเนื่องจากที่ผ่านมาอยู่ในวัดมีแต่ความสงบ เมื่อต้องออกไปทำงานข้างนอกก็พบกับความสับสนวุ่นวายปรับสภาพจิตตนเองไม่ทัน คนโบราณจึงกำหนดให้ทิดสึกใหม่อยู่วัดถือศีลก่อนแล้วค่อยออกไปผจญโลก

การลาสึกในอีกความหมายหนึ่งจึงหมายถึง ‘การออกศึก’ คือการออกไปเผชิญทุกข์ หลักธรรมต่างๆ ที่เคยศึกษาเล่าเรียนมาในช่วงที่บวช เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดเป็นความยินดียินร้ายขึ้นมาก็ต้องมีสติสัมปชัญญะประคับประคองจิตมิให้เตลิดเปิดเปิงไปกับสิ่งปรุงแต่ง มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสุขย่อมมีทุกข์ มีสรรเสริญย่อมมีนินทา สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นธรรมดาของโลกที่มีอยู่แล้ว การใช้ชีวิตเป็นนักบวชในช่วง ๓ เดือนฤดูฝนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกตนก่อนจะออกศึกไปผจญโลก

การสวด ‘ชะยันโต’ ให้พระที่ลาสิกขาจึงเป็นการให้กำลังใจกับท่านว่าต้องออกไปเผชิญหน้ากับข้าศึกคือความทุกข์ในโลกฆราวาส จงอย่าได้พ่ายแพ้กลับมา



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151027/215838.html
http://www.sahavicha.com/
http://i2.tagstat.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ