ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมชาวพุทธส่วนมาก ไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรมเพื่อสังคม.?  (อ่าน 2384 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ทำไมชาวพุทธส่วนมากไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรมเพื่อสังคม.?
ปุจฉา-วิสัชนา กับพระไพศาล วิสาโล

ปุจฉา : กราบนมัสการหลวงพ่อครับ เพิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของหลวงพ่อ โดยสถาบัน Siam Intelligence ทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมชาวพุทธ จึงมีส่วนน้อยนักที่ออกมาทำกิจกรรมเพื่อสังคม ส่วนใหญ่จะเน้นปล่อยวางที่ตัวคนเดียว โดยที่ไม่คำนึงถึงปัญหาทางสังคม การที่ปฏิบัติธรรมในลักษณะที่เอาตนเป็นที่ตั้ง หรือการที่คิดว่า อยากจะไปปฏิบัติธรรมในสถานที่ที่ไกลบ้านไกลเมืองเพื่อหนีความวุ่นวาย ถือว่าเป็นการไม่เอาใจใส่ในปัญหาของผู้อื่นรึเปล่าครับ

วิสัชนา : พุทธศาสนาที่เผยแพร่ในปัจจุบันมักเน้นการทำประโยชน์ตน แต่ไม่ค่อยเน้นการทำประโยชน์ท่าน มุ่งการแก้ทุกข์ให้แก่ตนเอง แต่ไม่ค่อยสนใจการช่วยเหลือสังคมหรือผู้ทุกข์ยาก แม้แต่การให้ทานก็ทำด้วยหวังประโยชน์ที่เกิดแก่ตน (เช่น โชคลาภ ความมั่งมี) มากกว่าที่จะนึกถึงประโยชน์สุขของผู้รับ ทั้งๆ ที่พุทธศาสนาสอนให้ใส่ใจทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน

อาตมาเข้าใจว่าสาเหตุที่คำสอนและการปฏิบัติของชาวพุทธมุ่งไปที่ประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ท่าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของความคิดแบบปัจเจกนิยมและบริโภคนิยม ที่เน้นเรื่องความสุขส่วนตัวค่อนข้างมาก ทัศนคติดังกล่าวมีอิทธิพลต่อคนชั้นกลางมากโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมือง คนเหล่านี้เมื่อนับถือพุทธศาสนา ก็นำเอาความคิดดังกล่าวมาใช้ในการปฏิบัติตน หรือตีความพุทธศาสนาให้เน้นแต่เรื่องประโยชน์ตน จึงส่งผลให้มีพฤติกรรมดังที่กล่าวมา

อันที่จริงประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่านแยกจากกันไม่ออก เมื่อทำประโยชน์ท่านก็ก่อให้เกิดประโยชน์ตนด้วย กล่าวคือ การช่วยเหลือผู้อื่นย่อมช่วยลดทอนกิเลสและความเห็นแก่ตัว ทำให้อดทนเข้มแข็ง และเพิ่มพูนเมตตากรุณา ในจิตใจ ดังพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “เมื่อรักษาผู้อื่น ก็ได้ชื่อว่ารักษาตน” พระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีก็ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เพียงสละทรัพย์ หากยังพร้อมสละอวัยวะและชีวิต การกระทำดังกล่าวมีผลหนุนส่งให้คุณธรรมของท่านสูงขึ้น จนตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด

อย่างไรก็ตามแม้ตั้งใจทำประโยชน์เพื่อสังคม ก็ไม่ควรมองข้ามการขัดเกลาฝึกฝนตนเพื่อลดกิเลส มีสติ และเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ นี้เป็นทั้งการบำเพ็ญประโยชน์ตนและส่งเสริมการทำงานเพื่อสังคม (ไม่ให้กลายเป็นการสนองกิเลสของตนไปโดยไม่รู้ตัว)
 
ดังนั้นจึงไม่ควรมองว่าการปฏิบัติธรรมในที่สงบสงัดเป็นการทิ้งสังคม หรือไม่สนใจส่วนรวมไปเสียหมด คนที่ปลีกวิเวกเพื่อกลับมาช่วยเหลือสังคม ก็มีไม่น้อย ไม่ต่างจากคนที่ไปเรียนเมืองนอก เพื่อกลับมาช่วยเหลือประเทศชาติ



ขอบคุณบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151027/215834.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2015, 09:48:53 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st11
          สาธุ ครับ
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา