ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทรงเจ้า ปาฏิหาริย์หรือแสดง? ฟังร่างทรงจี้กงแฉ วิทยาศาสตร์ขอถอดรหัส  (อ่าน 1083 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29353
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ทรงเจ้า ปาฏิหาริย์หรือแสดง? ฟังร่างทรงจี้กงแฉ วิทยาศาสตร์ขอถอดรหัส

ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เทคโนโลยีในประเทศไทยจะก้าวหน้าไปเพียงใด แต่ความเชื่อเกี่ยวกับ "คนทรงเจ้า" ยังคงฝังตัวอยู่ในสังคมต่อไป แม้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะพยายามหาคำตอบในเรื่องนี้หลายครั้ง แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคงไม่แจ่มชัดนัก และเป็นอีกครั้งที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะเดินหน้าหาคำตอบว่าร่างทรงเหล่านี้ เข้าทรงจริง หรือ เป็นเพียงการแสดงเพื่อหลอกลวงคนให้หลงเชื่อ?

นายชูชาติ งามการ ผู้เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาประชาชนในฐานะร่างทรงของ เทพเจ้าจี้กง มายาวนานกว่า 20 ปี ในสมัยที่โด่งดัง เขาได้รับการยอมรับในความขลัง ทั้งวิชาอาคมและความแม่นยำในการทำนาย วันนี้นายชูชาติได้หันหลังให้กับวงการ และมาเปิดใจเล่าที่มาที่ไปก่อนจะนำพาตัวเองเป็นร่างทรงให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ฟังว่า...ตอนสมัยอายุ 10 ขวบ อยากมีวิชาปลุกเสกพระ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จึงนึกถึงคนรู้จักว่าเขาทำท่าทางอย่างไร จากนั้นก็เกิดการเลียนแบบท่าทาง ระหว่างที่กำลังทดลองอยู่นั้นผู้ปกครองมาเห็นเข้า จึงคิดไปว่าถูกผีเข้า เลยตัดสินใจพาไปหาคนทรงเจ้า เมื่อเจอหน้าคนทรงเจ้า คนทรงเจ้าก็ทักว่า "มีองค์!!" ทั้งที่ในใจรู้ว่าเป็นการเลียนแบบ ในที่สุดจึงตัดสินใจผันตัวเข้าสู่วงการนี้เพื่อท้าพิสูจน์ในสิ่งเหนือธรรมชาติ..!


นายชูชาติ แต่งตัวให้มีลักษณะคล้ายเทพเจ้าจี้กง


ทำนายแม่นยำราวกับมีนัยน์ตาทิพย์

"อยู่ดีๆ จะให้คนมานับถือคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่คนมาเคารพศรัทธาในตัวร่างทรง ส่วนหนึ่งจะต้องมีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป บางคนสามารถทำนายดวงชะตาหรือรู้ปูมหลังของคนอื่นได้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สำหรับอดีตร่างทรงจี้กง ได้ชี้แจงในเรื่องนี้ว่า คนไหนที่ว่าทำนายแม่น เป็นที่ร่ำลือกันว่ามีวิชาอาคมแก่กล้า ผมได้ไปลองของท้าพิสูจน์มาหมดแล้ว ด้วยวิธีการง่ายๆ แค่ให้คนไปหลอกถาม” นายชูชาติ กล่าวและว่า ในแต่ละปีจะมีการจัดงานชุมนุมร่างทรงเป็นประจำ ลักษณะงานเสมือนเป็นงานมีตติ้งร่างทรงจากหลากหลายตำหนัก ซึ่งผมก็ได้รับเชิญไปงานลักษณะนี้เป็นประจำ และผมได้ส่งทีมงานแฝงตัวเข้าไปทำทีว่าจะมาขอคำปรึกษาจากร่างทรงคนหนึ่ง เกี่ยวกับปัญหาชีวิตครอบครัว

 :96: :96: :96: :96:

หญิงสาวเข้าไปถามร่างทรงว่า “ดิฉันมีลูกอยู่ 3 คน จะมีคนไหนบ้างที่สามารถพึ่งพาได้” เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างทรงเทพเจ้าก็ตอบราวกับมีนัยน์ตาทิพย์

“ลูกคนที่ 3 นี้พึ่งพาได้ แต่ไม่ช้ากำลังจะมีเคราะห์กรรม ให้พามาทำพิธีสะเดาะเคราะห์”

ซึ่งคำตอบที่ว่าร่างทรงคนนั้นเป็นของจริงหรือไม่...ได้ปรากฏชัด เพราะแท้จริงแล้วสายที่ส่งเข้าไปเป็นหญิงโสด ไม่เคยมีสามีและไม่เคยมีลูกสักคนเดียว เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะฟันธงว่า ร่างทรงคนนี้ก็แค่ร่างทรงอุปโลกน์ ลวงโลก


ร่างทรงกำลังสาธิตการเดินเหยียบเศษแก้วด้วยเท้าเปล่า


ใช้หลักวิทยาศาสตร์....พิชิตคนให้อยู่หมัด

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!! ร่างทรงบางคนมีอิทธิฤทธิ์ สามารถปลุกเสกคาถา เพื่อช่วยแก้ปัญหาของคนอื่นได้ ซึ่งเมื่อนำของปลุกเสกไปใช้แล้ว ก็เกิดเป็นผลดีกับชีวิตราวกับฟ้าประทาน อดีตร่างทรงจี้กง ได้ให้คำตอบว่า จากประสบการณ์ 25 ปี ทำให้เห็นว่าคนที่มาหาร่างทรง ต่างก็พกพาความทุกข์เข้ามาด้วยทั้งนั้น ซึ่งร่างทรงต่างรู้ในข้อนี้ดี จึงได้จัดการต้อนรับที่อบอุ่น มีการให้กำลังใจกัน พอคนที่มีความทุกข์มาเจอแบบนี้ก็เกิดความสบายใจ สุดท้ายก็ถลำลึกเข้าไปอยู่ในกลุ่มกลายเป็นลูกศิษย์ลูกหาคนสนิทในที่สุด

“เวลาเราจะทำนายทายทักหรือให้คำปรึกษาใคร จะต้องสังเกตรูปลักษณ์ภายนอก เพื่อที่จะบอกที่มาที่ไปของคนๆ นั้นได้ อย่างเช่น คนที่อดนอนพักผ่อนน้อย ดวงตาจะคล้ำ บางคนผิวขาวแต่ริมฝีปากดำก็แสดงว่าคนนี้ดูดบุหรี่ หรือคนผิวซีดดวงตาแดงกล่ำ แบบนี้ก็คือพวกที่เสพยา แล้วความทุกข์ทั้งหลายของคน มันก็มักจะมีพฤติกรรมเหล่านี้เป็นองค์ประกอบ”

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ไอ้ของพวกนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นหลักในการสังเกตง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีวิชาอาคมอะไรเลย แต่แบบนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้คนศรัทธา เหมือนตำรวจจบใหม่ ให้มามองว่าใครเป็นผู้ร้าย ใครเป็นคนดี ก็แยกไม่ค่อยออก แต่ลองเป็นตำรวจที่ทำงานมาหลายปี มีประสบการณ์เยอะจะสามารถบอกได้ทันทีว่าใคร เสพยา ใครฆ่าคน ใครเป็นโจรผู้ร้าย คือของแบบนี้ต้องใช้ประสบการณ์

มีอยู่รายหนึ่งที่มาปรึกษากับตน เธอมีปัญหาทะเลาะกับสามีเป็นประจำ ตอนนั้นเมื่อดูลักษณะการพูดจาแล้ว ทำให้รู้หญิงสาวรายนี้เป็นคนปากจัด แค่นี้ก็พอเดาได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นก็คงไม่พ้นมาจากตัวเธอเองที่เป็นต้นเหตุ ร่างทรงจี้กงจึงทำนายร่ายคาถาปลุกเสกน้ำมนต์ ให้หญิงสาวเอาไปแช่เย็นไว้ แล้วสั่งว่า เมื่อสามีกลับมาให้เอาน้ำมนต์นี้เทใส่แก้วให้ดื่ม และห้ามบ่นอะไรกับสามีเป็นอันขาด ผลสุดท้ายก็บังเกิดสิ่งอัศจรรย์ ครอบครัวกลับมารักใคร่กลมเกลียว..."ถ้าคิดให้ดี ของแบบนี้ไม่ต้องมาปรึกษาร่างทรงก็ได้ มันเป็นวิธีเอาใจคนง่ายๆ แค่นั้นเอง" นายชูชาติกล่าวพร้อมกับหัวเราะ


นายชูชาติ ขณะกำลังแสดงการเชือดลิ้นตัวเอง


โชว์อิทธิฤทธิ์ ตีสนิทปาดลิ้นโชว์ สะกดคนอยากลองของ

ในยุคที่มนุษย์ไปไกลถึงดวงจันทร์ การที่จะทำให้คนมาหลงเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ใครที่อยากลองของ ต้องการท้าพิสูจน์ แบบนี้จี้กงชอบนัก!! ชูชาติ กล่าวถึงวิธีสยบคนอยากลองของว่า เวลาคนไหนที่มาเพื่ออยากพิสูจน์ ก็จะต้อนรับเป็นกรณีพิเศษ บางครั้งก็เชิญเข้ามาจิบน้ำชาในตำหนัก สร้างความสนิทสนมคุ้นเคย พอสบโอกาสก็แสดงอิทธิฤทธิ์ เชือดลิ้นโชว์ให้เห็นเป็นขวัญตา แล้วท้าท่ายว่า...ลื้อทำได้ไหม ซึ่งเอาจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครกล้าทำหรอก แล้วยิ่งเราสามารถบอกเล่าชีวิตเขาได้ราวกับรู้จักกันมานาน คนพวกนี้เป็นอันต้องศิโรราบ


แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการปีนบันไดที่ทำจากดาบ


องค์เทพแสดงปาฏิหาริย์ หรือเกิดจากการฝึกฝน?

เมื่อเจ้าเข้าประทับทรง องค์เทพสำแดงเดชด้วยปาฏิหาริย์ ทั้งใช้เหล็กแหลมทิ้มแทงตามร่างกาย หรือจะเอามีดมาเชือดลิ้นทิ้งให้เห็นเป็นขวัญตา ของแบบนี้มนุษนย์ปุถุชนคนธรรมดา คงไม่มีใครทำได้ แต่สำหรับ ชูชาติ ในร่างมนุษย์ ได้ทำมาหมดอาศัยเพียงความใจกล้าและหมั่นฝึกฝน

การเดินลุยไฟนั้น หลักการง่ายๆ เลยคือระหว่างลุยไฟจะต้องวิ่งให้เร็ว ห้ามยืนอยู่เฉยๆ และจากการทดลอง ถ้าความยาวของกองไฟยาวประมาณ 3-4 เมตร เท้าจะไม่พอง แต่ถ้ากองไฟ ยาวประมาณ 8-10 เมตร เท้าจะพองในวันรุ่งขึ้น

การแทงเหล็กแหลมสามง่ามเข้าท้อง ไม่ต้องมีองค์มาประทับ แค่กะระยะให้เหล็กแหลมตรงกลาง แทงเข้าไปบริเวณซิปกางเกง ส่วนเหล็กแหลมด้านข้างซ้ายขวาจะอยู่ที่บริเวณเอว ทีนี้ก็เล่นละครแกล้งทำเป็นล้มกลิ้งล้มหงาย สุดท้ายคือแทงไม่เข้า!!


 :29: :29: :29: :29:

ที่มักเห็นกันบ่อยๆ คือ การแทงเหล็กแหลมทะลุแก้ม ซึ่งมีด้วยกัน 2 รูปแบบ

แบบแรกคือใช้เหล็กขนาดเล็ก วิธีการก็คือจะต้องทาเจลที่เหล็กก่อนเพื่อทำให้ลื่นทะลุได้โดยง่าย ที่สำคัญจะต้องแทงจากด้านในปากทะลุออกมาด้านนอก เพื่อให้ปากแผลเล็ก และเลือดไม่ไหลออกมาด้านนอก

แบบที่สอง คือการใช้เหล็กดุ้นใหญ่ๆ ก็จะต้องฉีดยาชาและทานยาแก้ปวดด้วย และต้องใช้มีดผ่าตัดกรีดแก้มให้มีรูขนาดใหญ่กว่าขนาดของเหล็ก เมื่อแทงเหล็กเข้าไปแล้วก็จะต้องใช้น้ำกลั่นและน้ำแข็ง คอยราดปากแผลเพื่อไม่ให้เซลล์ตาย

 :41: :41: :41: :41:

"ที่คุ้นตากันอีกอย่างคือ “การเล่นกับลิ้น” ไม่ว่าจะเป็นการเชือดหรือจะหั่นทิ้งก็สามารถทำได้ทั้งนั้น วิธีการง่ายๆ สำหรับการเชือดลิ้นจะต้องใช้มีดที่คมมากๆ และทำความสะอาดมีดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เวลาเชือดจะต้องทำให้เร็ว ซึ่งความเร็วและความคมของมีดจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นเพราะเนื้อไม่ช้ำ แต่ถ้าเชือดลิ้นแล้วยังไม่สะใจ จะตัดลิ้นให้ดูทำได้ เพียงแค่ใช้ลิ้นหมูที่ถูกฆ่าใหม่ๆ เลือกขนาดที่พอๆ กับลิ้นคน เอามาชุบน้ำหวานลดความคาว เวลาแสดงให้เนียน จะต้องเอาลิ้นหมูพร้อมถุงน้ำแดงใส่ไว้ในแก้ว

จากน้ันทำทีเป็นหยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำพร้อมกับเทลิ้นหมูและถุงน้ำแดงเข้าปาก แล้วใช้ลิ้นดุนลิ้นหมูออกมา ใช้ฟันกัดให้แน่นแล้วใช้มือจับปลายลิ้นพร้อมกับเอามีดดาบมาเฉือนเบาๆ ก็จะหดลิ้นหมูกลับเข้าไปในปากอีกครั้ง

ขั้นตอนต่อมาต้องพยายามกัดถุงน้ำแดงในปากให้แตก ซึ่งจะทำให้เหมือนว่ามีเลือดไหลออกจากปาก หลังจากนั้นก็แลบลิ้นหมูออกมาใหม่ แล้วใช้เหล็กแหลมแทงให้ทะลุ ก่อนจะใช้มีดดาบตัดให้ลิ้นขาเป็น 2 ท่อน (ท่อนหนึ่งจะติดอยู่กับเหล็กแหลม อีกท่อนหนึ่งจะอยู่ในปาก) เมือตัดเสร็จแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดที่ปากพร้อมกับแอบคายถุงน้ำแดงและลิ้นหมูลงผ้าเช็ดหน้า และเพื่อเป็นการยืนยันความเนียน ก็จำเป็นจะต้องอ้าปากโชว์ด้วยว่าลิ้นได้ขาดไปแล้ว โดยต้องหดลิ้นลงเก็บไว้ในคอพร้อมกับพูดเสียงอ้อแอ้ เหมือนคนไม่มีลิ้น..."


เดินลุยแก้วไม่ต้องมีองค์ก็ทำได้


ภาษาเทพ คนพูดยังไม่รู้ความหมาย

สุดท้ายคือเรื่องของภาษาเทพ นายชูชาติ เล่าต่อว่า ถ้าอยากลองพิสูจน์ว่าภาษาเหล่านั้น มันมีความหมายหรือไม่ ลองอัดเสียงแล้วไปถามลูกศิษย์ของร่างทรงดูว่า ท่านเทพพูดว่าอย่างไรบ้าง เมื่อได้คำตอบแล้ว ลองเอาเสียงที่อัดไปให้ร่างทรงเจ้าอื่นฟัง แล้วถามว่ามันแปลว่าอย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้มา มันจะไปกันคนละทิศละทางกับเจ้าแรกที่ไปถามเลย ตนก็ลองของในงานชุมนุมร่างทรง ซึ่งเทพแต่ละองค์ก็โต้ตอบกันไปมาด้วยภาษาที่คนธรรมดายากจะเข้าใจ ตนก็พูดมั่วซั่วออกไปบ้าง ร่างทรงเจ้าอื่นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจความหมาย ทั้งๆ ที่พูดเองยังไม่เข้าใจเลยว่าพูดอะไรไปบ้าง

ของแบบนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและบางอย่างต้องอาศัยความใจกล้าพอสมควร แต่เชื่อว่าหากผ่านการฝึกฝนมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีองค์เทพลงมาประทับก็สามารถทำได้


 :97: :97: :97: :97:

เดินสายร่างทรงมา 25 ปี ผมยังไม่เคยเจอของจริง

ถึงแม้จะมีความเชื่อว่า "มนุษย์" สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางติดต่อกับเทพเจ้าได้ แต่สำหรับ นายชูชาติแล้วกลับบอกว่า รับบทบาทเป็นร่างทรงมานาน 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515-2540 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เป็นร่างทรง ได้เก็บข้อมูลมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งได้อ่านข่าวของ พระพยอม กัลยาโณ ที่ท่านออกมาโจมตีเรื่องของการทรงเจ้า จึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาท่าน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตีแผ่เรื่องราวเหล่านี้ และจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ทำให้พระพยอมพาตนไปเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ในวันที่ 6 ก.พ. 2540 ที่ วัดสวนแก้ว ซึ่งครั้งนั้นเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์โดยที่ไม่ต้องเข้าทรง ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก

“ผมอยู่วงการทรงเจ้ามา 25 ปี ผมยังไม่เคยเห็นของจริงแม้แต่รายเดียว” นายชูชาติ กล่าว

อดีตร่างทรง ฝากข้อคิดทิ้งท้ายว่า ถ้าร่างทรงมีจริง ประเทศเราคงเจริญล้ำหน้าแซงอเมริกาไปไกลแล้ว และขอเตือนให้ระวัง พวก “ร่างทรงจัดฉาก” พวกนี้ทำกันเป็นขบวนการและอันตรายมาก มีการเปิดตำหนัก ลูกศิษย์ลูกหารายล้อม มีหน้าม้ามาเข้าเฝ้า ซึ่งทั้งหมดคือการเล่นละครตบตา เพื่อให้เหยื่อที่หลงเข้ามาเกิดความเลื่อมไสต่อองค์เทพอุปโลกน์ที่อยู่เบื้องหน้า สุดท้ายใครที่หลงเชื่อก็ถูกหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองไป หรือถ้าร้ายไปกว่านั้นบางรายอาจตกเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศด้วย การกระทำแบบนี้คือมิจฉาชีพ ย่อมไม่ประสงค์ดีต่อคนที่ตกเป็นเหยื่อแน่นอน

แม้ความเชื่อเรื่องการทรงเจ้า จะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางวิชาการ ได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของร่างทรง โดยใช้ทฤษฎีของนักสังคมวิทยาเพื่อมาอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ


เคยออกรายการของคุณมาโนชย์ พุฒตาล


นักวิชาการชี้ ความหน้าเชื่อถือคือพลังแห่งศรัทธา

การอธิบายพฤติกรรมต่างๆ ของร่างทรงนั้น ดร.รัตพร เดอะ ยง อายุ 40 ปี ประธานสาขาวิชาไทยและอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ค้นคว้าและเขียนงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของร่างทรง และติดตามสังเกตพฤติกรรมของร่างทรงมานานถึง 10 กล่าวว่า ได้เก็บข้อมูลร่างทรงมาทั้งหมด 38 เคส แต่มีอยู่ 2 เคส ที่น่าสนใจ เพราะเรียกได้ว่าเป็นร่างทรงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด มีลูกศิษย์ที่นับถือทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญคนที่ศรัทธามักจะเป็นคนมีฐานะ ถึงขนาดออกเงินสร้างศาลเจ้าและบ้านพักอาศัยส่วนตัวให้

หลังจากศึกษาพฤติกรรมของคนทรงเจ้าพบว่า ร่างทรงนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันคือ จะต้องทำให้คนเชื่อว่ามีเทพเจ้าอาศัยอยู่ในร่างนั้นจริงๆ ซึ่งหากทำตรงนี้ได้ จะถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วในขั้นต้น ส่วนในขั้นต่อไปก็ต้องทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น ด้วยการตอบสนองสิ่งที่คนมาใช้บริการคาดหวัง เช่น การดูดวง หรือให้ปรึกษาในเรื่องต่างๆ ยิ่งผู้ใช้บริการทำตามคำแนะนำจนประสบความสำเร็จ ความศรัธาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความสามารถตรงนี้ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และทักษะในการโต้ตอบของแต่ละคน ใครที่ทำได้ดีก็จะเป็นที่เคารพศรัทธาจากผู้คนมากมาย


ดร.รัตพร ติดตามศึกษาร่างทรงมากว่า 10 ปี


ทฤษฎีโรงละคร สร้างบรรยากาศให้คล้อยตาม 

ดร.รัตพร กล่าวว่า “การแสดงสีหน้า ท่าทาง และการสร้างบรรยากาศภายในศาลเจ้าด้วยกลิ่นธูป แสงเทียน ประกอบกับบทสวดสำเนียนจีนเคล้าไปกับเสียงเคาะให้จังหวะของไม้ จึงทำให้คนที่มาศาลเจ้านั้น คล้อยตามได้ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ สามารถได้ด้วยทฤษฎีของ เออร์วิง กอฟฟ์แมน”

เราเปรียบร่างทรงเป็นนักแสดง ส่วนลูกค้าหรือผู้ที่มาใช้บริการนั้นเปรียบเสมือนผู้ชม ฉะนั้นการที่จะทำให้ผู้ชมประทับใจแล้วอินไปกับสิ่งที่ร่างทรงต้องการนำเสนอให้ผู้ชมเห็น จะต้องมีองค์ประกอบของฉาก การแสดงสีหน้าท่าทาง น้ำเสียง จนถึงการสร้างบรรยากาศ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ ร่างทรงมีครบทุกอย่าง ยกตัวอย่างร่างทรงของเทพเจ้าจีน คนทรงก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าไปตามคาแรกเตอร์ของเทพเจ้าองค์นั้นและมีการเปลี่ยนน้ำเสียงให้ผิดไปจากเสียงเดิม นอกจากนี้ยังสามารถพูดภาษาจีนได้ด้วย

 :41: :41: :41: :41:

“เคยมีการทดลองอัดเสียงของคนทรงเจ้าที่พูดออกมาเป็นภาษาจีนไปให้ผู้เชี่ยวชาญฟัง และได้รับคำตอบว่า มีภาษาจีนจริงๆ ปนอยู่บ้างแต่ก็เป็นแค่คำง่ายๆ และสำเนียงที่ฟังดูอาจจะคล้ายคลึงกับภาษาจีนแต่จริงๆแล้ว มันเป็นคำที่ไม่มีความหมาย”

จากนั้นก็ได้นำเสียงที่อัด ไปสอบถามจากคนจีน ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยร่างทรงในตำหนักแห่งหนึ่ง และได้รับคำตอบว่า “ภาษาที่พูดนั้นเป็นภาษาเทพ จำเป็นต้องใช้คนที่มีการศึกษาภาษาจีนขั้นสูงเท่านั้น จึงจะแปลความหมายได้”


ดร.รัตพร เดอะ ยง นักวิชาการผู้อธิบายร่างทรงด้วยทฤษฎี


เปรียบร่างทรงเป็นจิตแพทย์ ให้บริการปรึกษาปัญหาชีวิต

ดร.รัตพร กล่าวว่า ร่างทรงต้องคำนึงถึงบริบทโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมด้วย ในอดีตร่างทรงอาจจะมีหน้าที่ในการรักษาพยาบาล แต่ในปัจจุบัน มีการรักษาที่ทันสมัยมากขึ้น คนก็เข้ารักษากับการแพทย์สมัยใหม่แทน แต่ร่างทรงยังคงดำรงอยู่ในสังคม โดยเปลี่ยนบทบาทของจากการรักษาพยาบาล มาเป็นให้คำปรึกษาในเรื่องการดำเนินชีวิตแทน ซึ่งในต่างประเทศ หากใครต้องการคำปรึกษาในเรื่องต่างๆ ก็จะไปพบจิตแพทย์ การไปหาจิตแพทย์ของวัฒนธรรมตะวันตกจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับการเข้าหาจิตแพทย์ของคนไทย มักจะถูกมองในแง่ร้าย ฉะนั้นการเข้าหาร่างทรง จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนไทยใช้บำบัด สุขภาพจิต ทำให้พูดได้ว่าร่างทรงนั้น เปรียบเสมือนนักจิตวิทยาประเภทหนึ่งแต่เป็นนักจิตวิทยาที่เกิดจากประเพณีและความเชื่อ

“สุดท้าย… ในฐานะนักวิจัย คงไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องราวของร่างทรงนั้นมีจริงหรือไม่ เพราะวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ได้ แต่เราได้พยายามหาทฤษฎี เพื่อใช้อธิบายถึงพฤติกรรมเหล่านี้” ดร.รัตพร กล่าว…


ขอบคุณภาพและบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/537394
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 06, 2015, 10:03:20 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ