ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศาลสถิตยุติธรรม คือ ความตาย  (อ่าน 2379 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ศาลสถิตยุติธรรม คือ ความตาย
« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 08:09:46 am »
0


ศาลสถิตยุติธรรม คือ ความตาย
ธรรมะยู-เทิร์น โดยอิทธิโชโต

     “ภิกษุใดเจริญมรณสติอย่างนี้ว่า...โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วเวลาหายใจออกแล้วหายใจเข้า หรือหายใจเข้าแล้วหายใจออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่าไม่ประมาทอยู่ ย่อมเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล"

      (จาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต,ปฏิปทาสูตรที่ ๓)


ask1 ask1 ask1 ask1 ask1

คนเราส่วนใหญ่กลัวความตาย ใช่หรือไม่.?

ความตาย เป็นเหมือนเป็นศัตรู เวลาที่เราจะออกรบ เพราะฉะนั้นความตายไม่คุ้นเคยกับใครและไม่มีใครต้องการ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็ต้องพบเจอ

คำว่า ‘ธรรมชาติ’ หมายความว่า มันเป็นอย่างนั้นของมัน ไม่ว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเกิดมาสวยเลิศ หรือสูงศักดิ์ ความตาย คือศาลยุติธรรมของหลักธรรมชาติ เสมอภาคกันหมด ไม่ว่าใครก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีข้อยกเว้น เราทำได้อย่างเดียว คือเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจมัน

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แล้วว่า ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของเราจริงๆ ก็ต้องบังคับได้ แต่ เราบังคับความตายไม่ให้เกิดกับเรา ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นของเราก็มี ไม่เป็นของเราก็มี แต่มนุษย์ คิดว่าเป็นของเราทั้งหมด ที่ว่าเป็นของเราก็มี คือดวงจิตนี้ที่เราจะต้องฝึก ฝึกให้ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ แม้กระทั่งความตาย เพราะถ้าไม่ฝึก ดวงจิตก็ไปยึดไปเหนี่ยวทุกอย่าง เมื่อดวงจิตนั้นไปยึดเหนี่ยวสิ่งใดก็จะเป็นสิ่งนั้น เป็นอัตตาก็ได้ เป็นอนิจจังก็ได้ เป็นอนัตตาก็ได้ เป็นคนดีก็เป็นได้ เป็นคนไม่ดีก็เป็นได้


 ans1 ans1 ans1 ans1

ดังนั้นการที่เราจะเรียนรู้ยอมรับความเป็นจริงให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องความตาย ทำให้เราต้องมาฝึกธรรมะ การฝึกฝนธรรมะ ก็คือ เรามีหน้าที่เรียนรู้และยอมรับมัน ไม่ว่าปราชญ์ไทย จีน ฝรั่ง ก็ได้บอกเกี่ยวกับความตายตรงกันหมดก็คือ ยิ้มรับและยอมรับมัน

ส่วนคนที่จะยิ้มรับกับมันได้ ยอมรับได้ คือคนประเภทไหน คนที่ไม่เคยฝึก จะมองดูและยอมรับได้อย่างไร เหมือนเด็กที่กลัวคนตาย จะไปมองไหม หรือผู้ใหญ่ที่กลัวความเจ็บป่วย ก็มีแต่จะวิ่งหนี แต่ความจริงคือ วิ่งหนีไม่ได้ ทุกคนต้องประสบ จึงต้องมาฝึกฝน เพื่อให้เข้าใจหลักธรรมชาติ จึงจะอยู่กับมันได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากถ้าไม่ฝึกอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่คนหวงแหนที่สุดก็มีอยู่เท่านี้ คือร่างกาย เพราะกลัวตาย แต่ก่อนที่จะไปถึงความตาย เราจึงยอมสละได้ทุกอย่าง

 :25: :25: :25: :25:

เรายอมสละสิ่งของภายนอกที่หามาเพื่อนำไปรักษาการเจ็บป่วย และพอจะต้องเสียชีวิต ก็ยอมที่จะผ่าตัดอวัยวะบางส่วนออกไปเพื่อรักษาชีวิต เช่นเดียวกับบ้านเรือนที่เคยอยู่ ครอบครัวที่เคยมี สิ่งของที่เคยชอบใจ เมื่อภัย คือความตายจะมาถึง ก็จะกลัวความตายเป็นที่สุด จึงต้องทิ้ง ลูกเต้า ภรรยา ที่หวงแหนขนาดไหนก็ยังต้องทิ้ง

    แล้วจะทิ้งอย่างไรเมื่อภัยมาถึง.?
    เพียงจิตใจของผู้ที่มุ่งมั่น ก็สามารถทิ้งร่างโดยไม่ยึดติดได้ ไม่ต้องเป็นถึงพระอริยะ แค่เข้าใจความตาย เข้าใจกฎของธรรมชาติ ก็ยังทำได้ เรียกว่า เลือกตายดีก็ได้ เราจะเลือกแบบไหนล่ะ



ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20151110/216623.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ