ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เราต่างเป็นกระจกให้กันและกัน  (อ่าน 1243 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28559
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เราต่างเป็นกระจกให้กันและกัน
« เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2015, 07:37:26 am »
0


เราต่างเป็นกระจกให้กันและกัน
บาตรเดียวท่องโลก โดยพระพิทยา ฐานิสสโร

คุณหมอท่านหนึ่งเป็นผู้ที่พยายามขวยขวายศึกษา เรียนรู้ ปฏิบัติภาวนาเสมอ ไม่ว่าทางสายเถรวาท มหายาน วัชรยาน อีกทั้งพยายามนำการภาวนามาประยุกต์ในชีวิตประจำวัน และวิชาชีพที่ทำอยู่ แล้วยังกรุณาเมตตาที่จะช่วยเพื่อนร่วมงานให้ได้รับประโยชน์ด้วยการนิมนต์นักบวช ผู้นำทางจิตวิญญาณที่ปฏิบัติในแบบต่างๆ มานำภาวนาให้แก่โรงพยาบาลที่ท่านทำงานอยู่

สิ่งที่คุณหมอได้กระทำทุกอย่างได้ส่งผ่านไปยังครอบครัว โดยเฉพาะหลานชายตัวน้อย เด็กชายข้าวปั้นที่ค่อยๆ เติบโตควบคู่กับการปฏิบัติธรรมที่คุณป้าพยายามให้ได้ลิ้มรสอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเป็นแบบรูปแบบและไร้รูปแบบ

เด็กชายข้าวปั้นจึงเป็นเด็กที่โชคดีไม่น้อยที่มีโอกาสได้สัมผัส เรียนรู้ ปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรมตั้งแต่ยังเล็ก และได้พบครูบาอาจารย์หลายสายทางแห่งการปฏิบัติ หลายครั้งที่เด็กชายตัวน้อยเป็นระฆังแห่งสติให้คุณป้าเป็นอย่างดี

 :96: :96: :96: :96:

ขณะเดียวกัน ทั้งๆ ที่เด็กชายข้าวปั้นได้เรียนรู้ เข้าใจ อะไรมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา แต่หลายครั้งเขาเองก็ยังตกหลุมพรางแห่งสมมุติโลก ที่วางกับดักไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งเป็นบททดสอบสำหรับการภาวนาของเขาได้อย่างดียิ่ง ที่โชคดีกว่านั้น เขามีคุณป้าเป็นทั้งแบบอย่าง เป็นทั้งครู เป็นทั้งเพื่อน ฯลฯ ทำให้ช่วยเขาไม่ตกถลำลึกในหลุมพรางแห่งชีวิต ณ ช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี

เช่นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากข้าวปั้นได้รับผลคะแนนสอบประจำภาคเรียนกลับมา พอเขาทราบผลคะแนน เขาก็ร้องไห้ แล้วก็ร้องหนักมากขึ้นและไปซุกตัวอยู่ใต้โต๊ะ ร้องไห้สะอึกสะอื้นต่ออีก คุณป้าต้องไปดึงออกมา พาไปนั่งในห้องพระ และขอดูใบคะแนนผลสอบ ซึ่งทำให้คุณป้าแปลกใจยิ่งนัก ทั้งที่เขาทำได้เกรดเฉลี่ย ๔ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนแรกคิดว่าเขาสอบตก เพราะร้องไห้ซะขนาดนั้น คุณป้าเลยพูดกับเขาว่า ลูกไม่ได้สอบตกนะข้าวปั้น แถมคะแนนของลูกก็ถือว่าโอเคแล้ว ทำไมต้องร้องไห้ด้วย

 :25: :25: :25: :25:

เขาบอกว่า เขาคาดหวังจะเป็นท็อป ๕ คือ ติด ๑ ใน ๕ ของชั้น แต่ตอนนี้ เขาอยู่ในท็อป ๑๐ คือ ๑ ใน ๑๐ เขาเลยเสียใจ คุณป้าเลยบอกว่า คะแนนไม่ได้บอกอะไรนะ คุณค่าของลูกไม่ใช่ที่เกรดคะแนน เราไม่ได้วัดกันที่คะแนน ถ้าลูกได้ที่ ๑ แต่เป็นเด็กที่ไร้น้ำใจไม่มีความเมตตาใดๆ ป้าไม่โอเคนะ แบบนั้น

“คะแนนอาจเป็นส่วนหนึ่งในการวัดอะไรบางอย่าง แต่อย่างอื่นสำคัญกว่า สำหรับป้าคะแนนเท่านี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถ้าลูกอยากได้คะแนนดีกว่านี้ ลูกก็ขยันมากกว่าเดิมได้ ตั้งใจทำใหม่” ป้าบอกข้าวปั้นให้อยู่กับเป็นจริง อย่าไปตกหลุมพลางของสมมุติโลกที่หลอกให้ใจเราเป็นทุกข์ได้เสมอ

 ณ เวลาที่คุณป้าอยู่ตรงนั้น เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ นี่คือสิ่งบ่งชี้หนึ่งที่ทำให้เห็นว่าครอบครัวคือ รากฐานเริ่มต้นที่ทำให้ทุกชีวิตแข็งแรง อ่อนแอหรือมีปัญหา ถ้าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวดี มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเรียนรู้แลเจริญเติบโตด้านในไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างกิน ต่างคนต่างไป เคยถามตัวเองไหม ถ้าเป็นเช่นนี้ จะมีครอบครัวไปทำไม?


 st12 st12 st12 st12

ความสัมพันธ์จะช่วยให้ อย่างน้อยถึงแม้เด็กจะมีสภาวะส่อไปในทางที่ไม่ดี แต่เมื่อได้รับความเข้าใจ เห็นใจ ให้อภัย มีแบบอย่างเป็นแนวทางที่ดีให้ เขาก็จะเห็นเป็นตัวอย่าง ถ้าเราเดินตามสังคมแห่งการบริโภค เด็กก็จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเราแห้งแล้งน้ำใจ ไม่มีเมตตา เด็กก็เหมือนกัน ถ้าเราแข่งขันกับทุกคนที่อยู่ร่วมด้วย เด็กก็จะเดินตาม คงมีน้อยมาก ที่เด็กสามารถเลือก เห็น เข้าใจ ทำในสิ่งที่ดีด้วยตัวเอง

ถึงแม้ครอบครัวนำทางไปในทางที่ดี แต่พลังแห่งสังคม ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน คุณครู เพื่อน สิ่งแวดล้อมภายนอก ต่างมองว่าการได้เป็นที่หนึ่ง หรืออยู่ในอันดับต้นๆ ไม่จำเป็นว่า นิสัยจะเป็นเช่นไร คุณจะกลายเป็นที่ยอมรับในสังคม เป็นคนที่สังคมจดจำ คุณครูเพื่อน จดจำ จนในที่สุดจากพลังที่ดีที่ได้รับในครอบครัวอาจไม่เพียงพอ ถ้าเขาไม่แข็งแรงเพียงพอและยืนบนโลกแห่งสมมตินั้นได้ด้วยตัวเอง

การศึกษาสมัยใหม่ในระบบวัตถุนิยม บริโภคนิยม จึงเป็นการศึกษาที่ทำร้าย ทำลาย ความดีงาม ความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจ อย่างน่าเป็นห่วง

 st11 st11 st11 st11

เราทุกคนไม่รู้เลยว่า ยิ่งศึกษามาก ความทุกข์ของเรายิ่งซับซ้อน อัตตาตัวตนยิ่งมากขึ้น อิสรภาพภายในของเราค่อยๆ หมดลงไป ถ้าใครอยากเป็นอิสระ เข้าใจธรรมชาติ ความจริงของชีวิตอย่างแท้จริง ต้องไปศึกษานอกห้องเรียน ที่ไม่มีสารบบการสอน ซึ่งบางคนไม่มีโอกาสศึกษาเลย จนวันสุดท้ายแห่งชีวิต เพราะมัวยุ่งแต่เรื่องทำมาหากินแค่หล่อเลี้ยงกายที่กำลังเน่าเปื่อย สลาย ผุพัง โดยไม่ทันรู้ตัว

           มีเกียรติยศ ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง สุขภาพดี
           แต่จิตใจยังไร้ความสงบสุข สิ่งทั้งหมดเหล่านั้นเป็นเพียง มายาแห่งชีวิต


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20151118/217095.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ