ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศาลพระภูมิ-เจ้าที่ เทพ ผี ใบเสมา และความเปลี่ยนแปลง  (อ่าน 1020 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ศาลพระภูมิ (ที่มา http://www.sujitwongthes.com/)

ศาลพระภูมิ-เจ้าที่ เทพ ผี ใบเสมา และความเปลี่ยนแปลง

มักมีผู้ถามผมว่า ความเชื่อเรื่องพระภูมินี่เป็นของศาสนาใด (ซึ่งท่านคงอยากให้แน่ว่าใจว่านี่เป็นของพราหมณ์)  ผมก็ตอบไปว่า “ผี” พอได้ยินอย่างนั้นหลายท่านคงนึกเถียงผมในใจ จะผีได้ยังไง ก็พระภูมิท่านเป็นถึงองค์เทพเทวดา ก็เห็นท่านแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเทวดาหรือเจ้า จะสวดจะบูชาก็ยังต้องใช้ภาษาแขกคือบาลี ใช้ “พราหมณ์” ทำพิธี แถมยังมีตำนานแขกๆ เรื่องเจ้ากรุงพาลีมารองรับอีก ท่านจึงน่าจะเป็นความเชื่อพราหมณ์หรืออย่างน้อยๆ ก็น่าจะเป็นเทวดาพุทธในจำพวก “รุกขเทวดา”

หลายท่านคิดว่า ปัจจุบันนี้คนไทยมีความรู้ดี จึงแยกผีกับเทวดาชัด ผีเจ้าที่เขาตั้งศาลให้ต่ำกว่าศาลพระภูมิ เรียกว่าศาลเจ้าที่หรือศาลตายาย ความแตกต่างจากพระภูมิ คือ ต้องมีสี่เสาและไม่ใช่รูปแบบปราสาทราชวัง แต่เป็นเรือนไทย มีรูปเคารพชาวบ้านหรือโล่งๆ ไว้

หลายบ้านจึงตั้งทั้งศาล “พระภูมิ” เสาเดียว อันเป็นของ “เทวดา” กับศาล “เจ้าที่” หรือศาลตายายซึ่งมีสี่เสา อันเป็นที่สถิตของ “ผี” ไปพร้อมๆ กัน และดูเหมือนว่าจะมีความนิยมเช่นนี้แพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ


 :25: :25: :25: :25:

นอกจากสองศาลในสถานที่เดียว บางอาคารสถานที่ขนาดใหญ่ยังมีศาลของเทพเจ้าฮินดูเพิ่มขึ้นไปอีก กลายเป็นมีสามศาลสี่ศาลในสถานที่เดียว ผมเคยวิเคราะห์ว่า นี่คือความเปลี่ยนแปลงของความเชื่อในเรื่องระดับชั้นของอำนาจกับพื้นที่ของคนในเมือง

สำหรับความเชื่อนี้ ศาลขนาดเล็กและพระภูมิไม่อาจมีความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจมากพอที่จะคุ้มครองอาคารและพื้นที่ที่มี “ศักดิ์” สูงขนาดนั้นได้ ทั้งๆ ที่แต่โบราณมา จะบ้านเรือนของไพร่หรือปราสาทราชวังก็ใช้ “ผี” เป็นอารักษ์ทั้งนั้น

 :25: :25: :25: :25:

ลองเข้าไปมหาวิทยาลัยศิลปากรวังท่าพระสิครับ มหาวิทยาลัยที่มีพระพิฆเนศวร์เป็นสัญลักษณ์ แต่เราจะไม่เจอศาลเทวรูปของพระองค์เลย เพราะวังท่าพระมีศาลของ “เจ้าแม่เฮงหลุย” อยู่แล้ว ซึ่งเฮี้ยนจนไม่สามารถมีเทวรูปของเทพอื่นๆ ที่นั่น

ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ น้อยมากที่จะพบเห็นบ้านเรือนที่มีสองศาลเช่นที่ว่านี้ ถ้าเป็นในต่างจังหวัดบ้านผม ชาวบ้านมักจะทำศาลง่ายๆ แบบสี่เสา ถ้ามีฐานะหน่อยก็อาจซื้อศาลแบบที่มีเสาเดียวมา ซึ่งเป็นของที่มีทีหลัง แต่จะแบบไหนก็เรียกว่า ศาลพระภูมิเจ้าที่หรือตายายปนๆ กันไป และมีเพียงศาลเดียวเท่านั้น

“ผี”ในศาสนาผีนี่เป็นอะไรที่อธิบายยากนะครับ แต่คงไม่ใช่แค่ผีในความหมายของวิญญาณของปัจเจกบุคคลอย่างที่เราคิดกันในปัจจุบัน ผีนั้นอาจเป็นทั้งพลังงานของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ บรรพบุรุษ ผืนแผ่นดินบุคคลในตำนาน ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ผีมีหน้าที่ดำรงกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างในชุมชนนั้นๆ ไว้ หรือเป็นสิ่งสร้างความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ


 :29: :29: :29: :29:

อำนาจของผีจึงเป็นแบบ “เฮี้ยน” เพราะถ้าคุณไม่กลัวและไม่เคารพผี กฎเกณฑ์ทางสังคมจะไม่มีคนเคารพอีกต่อไป ผีจึงต้องให้คุณให้โทษได้ ศาลผี หรือศาลเจ้าที่แบบเดิมจึงมีเพียงศาลเดียวในชุมชนหนึ่งๆ เป็นศูนย์รวมของคนในชุมชนทั้งหมด

ต่อเมื่อผู้คนเริ่มแยกตัวเป็นปัจเจกมากขึ้น ศาลพระภูมิสำหรับบ้านแต่ละหลังจึงเกิดขึ้นตามมา พระภูมินั้น สำหรับผมคือ ผีหรือเจ้าที่ที่ถูก “จับบวช” เป็นพราหมณ์นั่นแหละครับ จะเรียกว่าพระภูมิหรือเจ้าที่คือผีอย่างเดียวกัน

ตำนานพระภูมิที่ปรากฏในบ้านเรา ถ้าพิเคราะห์ดูจะเห็นจับเอาส่วนหนึ่งของตำนานฝ่ายพราหมณ์ คือเรื่องวามาวตารมาผสมกับตำนานพื้นบ้าน เช่น ชื่อพระบิดามารดาพระภูมิในตำราของเรา คือพระเจ้าทศราชและพระนางสันทาทุกข์ รวมทั้งพระนามพระภูมิทั้งเก้าองค์ ก็ไม่มีปรากฏในปุราณะของแขกแต่อย่างใด รวมทั้งเรื่องพระภูมิด้วย

พระภูมิที่มีอยู่เป็นชุดเก้าองค์นี้ กลับดูคล้าย ชุดของ “แม่ซื้อ” ซึ่งเป็นผีสตรีดั้งเดิมอีกชุดหนึ่งในบ้านเราที่ถูกจับบวชพราหมณ์ด้วยเช่นกัน (แต่ดูเหมือนบวชได้ไม่มากเท่าพระภูมิ เพราะทั้งรูปลักษณ์และพิธีกรรมยังละม้ายผีอยู่มาก) ผีเจ้าที่เมื่อบวชแล้วได้แต่งองค์อย่างใหม่ใส่มงกุฎชฎา และประทับในปราสาทราชวังแทนที่ศาลผีอย่างเดิม


     ans1 ans1 ans1 ans1

กระนั้นผมคิดว่า พระภูมิยังคงรักษาความเป็นผีอย่างเหนียวแน่นด้ วยลักษณะสำคัญหลายประการ กล่าวคือ
 
    ๑.  ถ้าจะจัดพระภูมิเป็นเทพ พระองค์ก็เป็นเทพแบบ “ไหว้ดีพลีถูก” คือให้คุณให้โทษได้ ผู้ที่สนใจจะตั้งศาลพระภูมิจึงมักได้รับคำเตือนว่า ถ้าทำดีดูแลดีพระภูมิก็ให้คุณ ถ้าทำไม่ดีก็ให้โทษได้เช่นกัน ลักษณะนี้เป็นแบบเดียวกับเทพระดับล่างๆ ของพวกพราหมณ์ เช่นพระไภรวะ หรือเจ้าแม่ต่างๆ คือยังคงมีลักษณะอำนาจดิบๆ อย่างผีอยู่

    ๒.  พระภูมิยังโปรดเครื่องเซ่นเป็นภักษาหารอยู่ คือยังต้องมีอะไรอย่างพื้นเมือง เช่น หัวหมู กุ้งพล่าปลายำ และเหล้าข้าวสุราบาน ผิดกับเทพแขกที่มักไม่เสวยภักษาหาร ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับพระภูมิจึงขาดสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลย เพราะท่านยังเสวยแบบผีพื้นเมืองอยู่ อันแปลว่าท่านยังเป็นผีอย่างเก่า

    ๓. ที่จริงคนจะทำพิธีเกี่ยวกับพระภูมิได้นั้นมีขอบเขตกว้างมาก แต่เดิมชาวบ้านซึ่งไม่มีพราหมณ์ ก็ใช้ “หมอ” หรือ “หมอพราหมณ์” ในภาษาชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่พราหมณ์ในความหมายของผู้สังกัดศาสนาพราหมณ์ฮินดูหรือพราหมณ์ราชสำนัก แต่คือผู้มีความรู้ทางพิธีกรรมเป็นผู้ตั้งศาลได้ กระทั่งความนิยมประเพณีพิธีกรรมแบบพราหมณ์ราชสำนักเพิ่มมากขึ้น พราหมณ์หลวงจึงได้ออกไปประกอบพิธีให้ชาวบ้าน พิธีเกี่ยวกับพระภูมิจึงมีทั้ง พราหมณ์ หมอพราหมณ์ หมอผี พระ หรือแม้แต่เจ้าของบ้านเองที่มีความรู้ก็สามารถดำเนินการได้ทั้งสิ้น
      ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ พระภูมิไม่ได้สังกัดศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะไงครับ แม้จะมีพื้นเพเป็นผี แต่ก็ถูกจับบวชไปทั้งพุทธและพราหมณ์จนทุกคนจากแต่ละศาสนาสามารถเข้ามาปฏิสัมพันธ์ได้

     ๔. พิธีกรรมเกี่ยวกับพระภูมินี่ยังมีอะไรโบราณๆ ที่ไม่ใช่ของพราหมณ์หลายอย่าง เช่น ถ้าจะทำพระภูมิต้องขุดหลุม “ฝังเสา” นะครับ คือกำหนดมาด้วยว่า ถ้าจะทำอย่างพระภูมิให้ใช้เสาเดียวและฝังลงในพื้นที่ แบบนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า ความสำคัญของศาลพระภูมิมิได้อยู่ที่ตัวศาลแต่อย่างเดียว เสาของศาลพระภูมินั่นด้วยที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง เสาถึงมีข้อกำหนดและมีความหมายในพิธีกรรมเกี่ยวกับพระภูมิ คล้ายเสาผีของวัฒนธรรมพื้นเมือง


       :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

      นอกจากนี้ วัตถุบูชาในศาล เขาไม่เรียก “เทวรูป” นะครับ แต่เรียกว่า “เจว็ด” ซึ่งหมายถึงรูปเคารพ และที่สำคัญ เดิมเจว็ดพระภูมิเขาไม่ได้หล่อมาเป็นเทวรูปเป็นองค์ๆ อย่างที่นิยมในปัจจุบัน ของเก่านั้นเจว็ดพระภูมิเขาทำเป็นรูป “ใบเสมา” นะครับ โดยใช้แผ่นไม้มาสลักเป็นรูปเสมา แล้ววาด “เทวดา” ตรงกลางเข้าไป

     ผมเคยไปเที่ยวชมนิทรรศการว่าด้วยเทวสตรี ยังพบรูปเคารพเจ้าแม่ในใบเสมาแกะสลักเช่นนี้ ซึ่งเป็นของสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และเมื่อไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาก็ยังพบเจว็ดเทวดาในใบเสมาสมัยอยุธยาด้วย ปัจจุบันใบเสมามักถือว่า เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเป็นหลัก และของเก่าๆ ก็มักพบในภาคอีสานซึ่งอยู่ในราวสมัยทวารวดี

     แต่ ไมเคิล ไรท์ ผู้ล่วงลับเคยชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ในพุทธบัญญัติก็มิได้บอกว่า ต้องทำสัญลักษณ์เขต “พัทธสีมา” ให้อยู่ในรูปใบเสมา ในลังกาแต่เดิมพระอุโบสถก็ไม่ได้มีเสมาอย่างบ้านเราด้วย ที่จริงใบเสมาคงเป็นของเก่าแก่ในวัฒนธรรมหินตั้งของศาสนาผีมาแต่โบราณ ใช้วงรอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผี ซึ่งจะถูกซ้อนทับด้วยพุทธสถานอีกทอดหนึ่ง

    หนังสือ ทวารวดีในอีสานของ อ.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง มีเรื่องเสมาอธิบายอย่างน่าสนใจครับ หาอ่านกันต่อได้

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ดูเหมือนวัฒนธรรมหินตั้งหรือเสมาแม้จะถูกบวชพุทธไปนานมากแล้ว แต่ที่จริงเสมาในคติผีนี่อยู่ยั้งยืนยงมากครับ การซ้อนทับกันของพื้นที่จนเสมากลายเป็นสัญลักษณ์ของพุทธสถานอย่างที่เราเข้าใจกันนั้น ที่จริงนอกจากวัด เสมายังได้ล้อมรอบอีกสถานที่หนึ่งที่สำคัญมากๆ คือ “พระบรมมหาราชวัง” ด้วย

ตามโบราณราชประเพณี กำแพงวังที่จะมีเชิงเทินเป็นรูปเสมาได้ กำหนดให้มีเฉพาะกำแพงของพระบรมมหาราชวังที่ประทับของกษัตริย์ และวังของพระโอรสที่เป็นชั้น “เจ้าฟ้า” เท่านั้น ผมจึงไม่คิดว่า การสร้างกำแพงพระบรมมหาราชวังเป็นรูปเสมาเป็นเพียงความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมหรือขนบนิยมเท่านั้น เพราะมันมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับอยู่

ดังนั้น มันน่าจะมีความเชื่อแฝงอยู่ด้วย เพราะในวัฒนธรรมไทย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ คือวัดกับวังนะครับ ไม่ใช่เพราะวังเป็นที่ประทับของสมมุติเทพตามคติพราหมณ์ที่รับมาอธิบายทีหลัง แต่วังเป็นที่ประทับของ “เจ้าฟ้า” หรือ “ผีฟ้า” ซึ่งถ้าย้อนไปในอดีต ผีฟ้าหรือฟ้าก็มาจากความเป็นเจ้าเผ่าเจ้าแคว้นในระบบความเชื่อผีที่คลี่คลายมาสู่กษัตริย์ในระบบจักรวาลของพุทธ-พราหมณ์

เป็นไปได้ว่า การมีใบเสมาต้องล้อมรอบพระบรมมหาราชวังนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับ ใบเสมาที่ล้อมรอบศาสนสถานโบราณ ในวัฒนธรรมหินตั้งก่อนสมัยทวารวดี อันเป็นความเชื่อที่เก่าแก่มากๆ เพราะวังนั้นศักดิ์สิทธิ์มากๆ และตรงกับความศักดิ์สิทธิ์แบบเดิมของผีกว่าวัดเสียอีก น่าอัศจรรย์นะครับที่ประเพณีและความเชื่อนี้ยังมีมาอยู่ถึงปัจจุบัน


 st12 st12 st12 st12 st12

ย้อนกลับมาที่พระภูมิของเรา ผมจึงคิดว่าการที่เจว็ดพระภูมิ ต้องทำเป็นรูปใบเสมานั้น จึงไม่ใช่การทำอย่างลอยๆ ในแง่ความงาม แต่เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งทีเดียวว่า พระภูมินั้นคือผีแน่ๆ และสะท้อนว่า ใบเสมามิได้เป็นเพียงสิ่งสำหรับปักเขตแดน แต่ตัวมันเองก็เป็นวัตถุแห่งการเคารพบูชาด้วย

เวลานาคจะเข้าโบสถ์ ในประเพณีไทยจึงต้อง “วันทาเสมา” ก่อนนะครับ วันทาเสมานี้ผมเข้าใจว่าไม่มีในพุทธบัญญัติ เพราะบทสวดวันทาเสมา ก็เอามาจากบทต้นของบทขานนาคนั่นแหละ แม้ว่าจะอธิบายกันว่าก็เพื่อแสดงความเคารพต่อพัทธสีมา ซึ่งที่จริงควรเข้าไปแสดงความเคารพในพระอุโบสถซึ่งมีพระพุทธรูปมากกว่า

แต่เพราะใบเสมาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง เป็นสัญลักษณ์ของ “เจ้าที่” ของพระอุโบสถ และมันยังทำหน้าที่กั้นเขตแดนของโลกศักดิ์สิทธิ์กับโลกสาธารณ์ไว้ด้วย เราจึงต้องวันทาเสมาก่อนเข้าโบสถ์ และเราก็กราบไหว้เจว็ดพระภูมิในรูปใบเสมาเช่นกัน

 ans1 ans1 ans1 ans1

ที่จริงแก่นของพระภูมิก็คือ “เจ้าที่” หมายถึง อำนาจทิพยศักดิ์ที่ครอบครองบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ไม่ได้ลอยไปลอยมา ส่วนเสมาในหน้าที่หนึ่งนั้นก็เป็นสิ่งแสดง “อาณาเขต” หรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นเดียวกัน แก่นของพระภูมิและแก่นของใบเสมาจึงตรงกันพอดี เจว็ดพระภูมิที่เป็นรูปเสมานั้นจึงมีที่มาและความหมาย

ในปัจจุบัน จะหาเจว็ดพระภูมิแบบใบเสมายากเสียแล้ว เพราะไม่ค่อยโก้เท่าที่เป็นเทวรูป และแม้แต่ศาลพระภูมิก็มีรูปแบบวิจิตรพิสดารขึ้นเรื่อยๆ มีแม้กระทั้งศาลสไตล์รีสอร์ตหรือโมเดิร์น ในอดีตผีพยายามปรับตัวโดยการยอมบวชเป็นพราหมณ์หรือพุทธ และในขณะเดียวกัน ของจากศาสนาในอินเดีย ผีก็จับมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบผีโดยไม่รู้ตัว มาถึงปัจจุบัน ผีต้องยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบภายนอกอีก เพื่อจะดำรงอยู่ในโลกสมัยใหม่ และเพื่อจะให้สอดคล้องกับระบบทุน

ในอนาคต ไม่แน่นะครับ เราอาจเห็นเจว็ดพระภูมิเปลี่ยนเครื่องทรง จากมงกุฎชฎามาใส่สูทผูกไท้ เลิกถือพระขรรค์กับถุงเงิน แต่ถือสมาร์ตโฟนและบัตรเครดิตแทนก็เป็นได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ท่านได้ถือบัตรเลือกตั้งมากกว่า เพราะสำหรับหลายคนแล้ว บัตรนี้น่าจะมีค่ากว่าถุงเงินถุงทองเสียอีก



ผู้เขียน : คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ที่มา : ผี พราหมณ์ พุทธ, มติชนสุดสัปดาห์
เผยแพร่ : 25 มี.ค. 59
http://www.matichon.co.th/news/89468
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 31, 2016, 08:22:24 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ