ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 3 ‘เครื่องประดับเศียรทองคำ’  (อ่าน 1168 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



(จากซ้าย) พระมาลาทองคำ และจุลมงกุฎทรงน้ำเต้าจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะซึ่งคนร้ายลักลอบขุดเมื่อ พ.ศ. 2499 ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา



ย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 3 ‘เครื่องประดับเศียรทองคำ’

เมษายน เป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยมากมาย หนึ่งในนั้น คือการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก ตรงกับ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เป็นเหตุให้มีการย้ายราชธานีลงไปทางทิศใต้ ณ กรุงธนบุรี ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯทุกวันนี้

พระราชโบราณสถาน อีกทั้งวัดวาอารามที่เคยงดงามเกินบรรยายต่างทรุดโทรม ร่วงโร และรกร้าง กรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นเพียงอดีต ต่อมาในราว พ.ศ.2499 เกิดเรื่องที่ทำให้ชื่อของราชธานีแห่งนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของคนไทยอีกครั้ง นั่นคือเหตุการณ์ ‘กรุแตก’ ซึ่งเริ่มมีเค้าลางมาจากเรื่องที่เล่ากันหนาหูว่า มีผู้เสียสตินำเครื่องทองงดงามระยับไปร่ายรำท่ามกลางชุมชนใน ‘ตลาดเจ้าพรหม’ ตลาดใหญ่ในตัวเมืองอยุธยา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว

 :32: :32: :32: :32:

เรื่องนี้ถูกนำมาสอดแทรกไว้ในเรื่องสั้น “ขุนเดช” ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ในเครือ “มติชน” สุจิตต์เล่าว่า ตนได้ข้อมูลมาจาก “อามหา-จิรเดช ไวยโกสิทธิ์” หรือขุนเดชตัวจริงในเรื่องสั้นชุดดังกล่าวที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง

เหตุการณ์จริงต่อจากนั้น คือในเดือนกันยายน พ.ศ.2500 กรมศิลปากรได้พบเครื่องทองคำราชูปโภค พระพุทธรูป สถูปทองคำ และพระพิมพ์มากมายภายในพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดราชบูรณะ จากนั้นได้หาทางทำอุโมงค์ และบันไดลงไปในกรุลึกลับ ต้องคลำทาง วางแผน บันทึกผังกรุ และโบราณวัตถุมหาศาลที่ได้พบอย่างไม่คาดฝัน กลายเป็นหนึ่งในอภิมหาตำนานแห่งการค้นพบมรดกอันประเมินค่าไม่ได้จากบรรพชนยุคกรุงศรีอยุธยาที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง



สภาพภายในพระปรางค์วัดราชบูรณะ ซึ่งมีคนร้ายลักลอบขุดกรุได้สมบัติมหาศาล เมื่อ พ.ศ.2499


เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงรายละเอียดของการขุดกรุดังกล่าวในทุกขั้นตอน ถูกบันทึกไว้อย่างถี่ถ้วนและเต็มไปด้วยสีสัน ผ่านบทความของนักวิชาการด้านโบราณคดีที่รวมสรรพกำลังทางวิชาความรู้มาร่วมกันวิเคราะห์ตีความวัตถุล้ำค่ามากมาย โดยมีการพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2502 หรือเกือบ 60 ปีมาแล้ว ซึ่ง “มติชน” จะทยอยทำเสนอเป็นตอนๆ ดังเนื้อหาต่อไปนี้


ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี (ภาพจากเว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร องค์การมหาชน)


เครื่องประดับเศียร
(บทความโดย นายชิน อยู่ดี หัวหน้าแผนกวิชาการ กองโบราณคดี)

ในบรรดาเครื่องทองที่คนร้ายลักขุดได้ที่กรุในองค์พระปรางค์วัดราชบูรณะ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีสิ่งที่น่าสนใจ 2 ชิ้น คือ

    1.เครื่องทอง ที่มีบางท่านเรียกว่า จุลมงกุฎ ทรงน้ำเต้า
    2.เครื่องทอง ที่เรียกว่า มาลาทองคำ ใช้เส้นทองถัก

สำหรับชิ้นที่ 1 เป็นอะไรกันแน่ ได้ตรวจดูหลักฐานตามตัวหนังสือจากตำนานเครื่องต้นครั้งกรุงศรีอยุธยา ปรากฏดังนี้


 ans1 ans1 ans1 ans1

พระมหากษัตริย์

เครื่องสวมพระเศียร ในโอกาส
1.ทรงพระชฎาพระเกี้ยวเพชร ทับทิม มรกต มีสีตามฉลองพระองค์ เสด็จออกแขกเมือง
2.ทรงพระมาลา พระกลีบ 5 ยอดสะดุ้ง (ชฎามหากฐิน) เสด็จพระพุทธบาท (ชฎามหากฐิน)
3.ทรงพระชฎาสอดตามสีฉลองพระองค์ เสด็จไปพระราชทานเพลิงศพ วัดไชยวัฒนาราม
4.ทรงพระมาลาฝรั่งพระเส้าสเทินขนนกลอน ตั้งพยุหยาตราแต่ท่าเจ้าสนุกขึ้นไปจนพระพุทธบาท
5.ทรงพระชฎาขาวริมทองสอดตามสี (ชฎาพอก) เสด็จไปถึงปากป่าทุงบ้านใหม่
6.ทรงพระมาลาเส้าสูงกุหล่าขนนกตั้ง เสด็จไปวัดพระศรีสรรเพชญ์และฉลองวัด
7.ทรงเครื่องพระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงมหาพิชัยราชรถและพระที่นั่งกิ่ง
8.ทรงพระมาลาลง (ยันต์) ราชะ (เป็น) ซับใน เครื่องพระราชพิชัยสงครามสำหรับขนช้าง
9.ทรงเครื่องทรงประพาสพระ (มาลา) เส้าสเทิน เสด็จออกไปลพบุรีแลสระแก้วและน้ำโจนแลล้อมเสือ แลขั้นห้างจับเสือ

(ไม่ได้ระบุถึงมงกุฎทรงน้ำเต้าไว้ เข้าใจว่าตำนานเครื่องต้นนี้คงจะบันทึกในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง หรือแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังที่มีมงกุฎแบบทรงน้ำเต้า เพราะวัดไชยวัฒนารามเพิ่งจะสร้างในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง)



เครื่องทองวัดราชบูรณะ



พระมหาอุปราช

ทรงเครื่องทุกอย่าง (หรือบางอย่างไม่กล่าวชัด) เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน แต่มิให้ต้องสีเครื่องต้นและฉลองพระองค์ ลดพระสุวรรณมาลัย (ดอกไม้ที่เสียบข้างพระชฎา ซึ่งทุกวันนี้เรียกใบสนว่าพระยี่ก่า)
เจ้าฟ้าเทียบพระมหาอุปราช

ทรงพระชฎากาบต่ำ (ชฎาพอกมีกาบเป็นลายรักร้อยเรียวแหลม ประกับยอดขึ้นไป 4 ทิศ อันนี้บังคับให้ของเจ้าฟ้าสั้นกว่าของพระมหาอุปราช)

 :25: :25: :25: :25:

เจ้าฟ้า

อย่างที่ 1 ทรงเกี้ยวพระอุไรดอกไม้ทิศ
อย่างที่ 2 พระชฎาตามสีฉลองพระองค์

หลักฐานที่เป็นสิ่งของ ได้แก่ กาบพระเต้าทองคำยอดพรหมพักตร์ ซึ่งอยู่ในกรุเดียวกันนี้ มีกาบมีลายฉลุเป็นรูปประทับนั่ง ที่พระเศียรทรงพระชฎาหรือมงกุฎยอดทรงน้ำเต้าแบบเดียวกับเครื่องประดับเศียรชิ้นที่ 1 หลักฐานปัจจุบันก็ได้แก่มงกุฎหัวโขน ที่เรียกกันว่า มงกุฎยอดน้ำเต้า และมงกุฎยอดน้ำเต้าเฟือง ลดชั้นลงมาใช้กับเจ้านาย เช่น พิเภกผู้เป็นน้องกษัตริย์เมืองลงกา

พิจารณาประกอบกับสิ่งอื่นที่พบในกรุเดียวกัน คือ เครื่องราชกกุธภัณฑ์จำลองและพระแสงดาบ ชวนให้สันนิษฐานว่า เครื่องประดับเศียรทรงน้ำเต้าคงจะเป็นส่วนบนของมงกุฎ ส่วนล่างอาจจะหายโดยคนร้ายลักเอาไปซ่อนไว้ที่อื่น เพราะรูปที่ฉลุบนกาบของพระเต้าทองคำยอดพรหมพักตร์ มีมงกุฎครบทั้งส่วนบน (ทรงน้ำเต้า) และส่วนล่าง มงกุฎนี้ควรจะเป็นของมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่ง เพราะถ้าเป็นเครื่องของเจ้าอ้ายพระยาและเจ้าญี่พระยาควรจะมี 2 ชุด

ที่มาของยอดมงกุฎทรงน้ำเต้า ก็คือ เดิมชายไทยไว้ผมสูงและโพกผ้า พยานหลักฐานที่เป็นรูปสัมฤทธิ์ ได้แก่รูปสมัยอยุธยา เลขที่ อย.41 ขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่พระเศียรของรูปดังกล่าวจะเห็นผมสูงมีรอยแถบผ้ารัดหรือผูกโดยรอบคล้ายผมจุก อีกรูปหนึ่งเป็นรูปสมัยอยุธยาเลขที่ อย.54  ขณะนี้อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่ยอดพระเศียรผ้ารัดรอบผมสูง แปลงรูปไปเป็นผ้าแถบพันหลายชั้นเริ่มจะมีเค้าเป็นรูปทรงน้ำเต้า และมีกระบังหน้า ส่วนล่างรอบส่วนหลังของพระเศียรทำเป็นลวดลายคล้ายลายถัก


 ans1 ans1 ans1 ans1

การวิวัฒนาการของมงกุฎทรงน้ำเต้า คงจะเป็นดังนี้
    คั่นที่ 1 เดิมไว้ผมสูงและโพกผ้า
    คั่นที่ 2 ต่อมามีผ้าแถบหรือเชือกผูกรัดผมสูง เช่นเดียวกับผูกผมจุกเด็ก
    คั่นที่ 3 ประดิษฐ์เครื่องครอบยอดผมสูงมีลักษณะโปร่งด้วยทองหรือเงินแล้วแต่ฐานะ มีรูปทรงน้ำเต้า
    คั่นที่ 4 มีกรอบหน้า ผ้าโพกเปลี่ยนเป็นส่วนล่างของมงกุฎทำเป็นลวดลายคล้ายลายถักและมีกรรเจียกจอน
    คั่นที่ 5 เมื่อตัดผมสั้น เป็นแบบที่เรียกว่าทรงมหาดไทย ยอดผมสูงหายไป รูปทรงน้ำเต้า ก็ไม่มีความหมายเพราะไม่มีผมสูงแล้ว ยอดมงกุฎก็เปลี่ยนไปเป็นยอดแหลม มงกุฎทรงน้ำเต้าเดิมเป็นเครื่องทรงพระมหากษัตริย์ก็ลดศักดิ์ลงมาเป็นเครื่องทรงของเจ้านาย เช่น พิเภก คนรุ่นหลังลืมเลือนไม่ทราบว่าบริเวณที่เป็นทรงน้ำเต้านั้นเคยเป็นผม เมื่อทำมงกุฎทรงน้ำเต้าสำหรับเป็นหัวโขนก็ทาสีดำไว้ตรงที่เคยเป็นผมสูง


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


 
ห้องจัดแสดงเครื่องทองจากกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ทางลงกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะซึ่งกรมศิลปากรขุดอุโมงค์ทำบันไดขึ้นใหม่


ที่มาข้อมูล : หนังสือ จิตรกรรมและศิลปวัตถุ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหนังสือ พระพุทธรูปและพระพิมพ์ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิมพ์เผยแพร่ครั้งที่ 2 โดยกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ.2558
ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.matichon.co.th/news/95955
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ