ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สุนทรภู่ไม่ได้เกิดที่บ้านกร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง อนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นเพราะการเมือง  (อ่าน 1506 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อนุสาวรีย์สุนทรภู่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง (ภาพโดย ปานตะวัน รัฐสีมา)


อนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่บ้านกร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง สร้างหาเสียงการเมืองไม่ใช่หลักฐานประวัติสุนทรภู่

อนุสาวรีย์สุนทรภู่ ที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จ. ระยอง ไม่ใช่หลักฐานว่าสุนทรภู่เกิดที่นั่น แต่เป็นงานหาเสียงการเมืองก่อน พ.ศ. 2500

   “สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำ คือสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ขึ้นที่บ้านกร่ำ…”
    เป็นคำประกาศอย่างหนักแน่นในการหาเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเมื่อ พ.ศ. 2498 ของนายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ ซึ่งทำให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดระยองหลายสมัย ด้วยปณิธานนี้ นายเสวตรได้ผลักดันให้กระทรวงวัฒนธรรมในสมัยนั้นมีมติให้ดำเนินการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ณ บริเวณวัดป่าเดิม ต. บ้านกร่ำ อ. แกลง จ. ระยอง โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในเดือนมีนาคม 2498

     :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

    “เมื่อวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์แล้ว ข้าพเจ้าได้จัดการหาที่ดินเพิ่มขึ้น เพราะที่ดินที่เป็นของวัดป่าเดิมที่เหลืออยู่ มีเพียง 2 ไร่เท่านั้น…” นายเสวตรเขียนเล่าไว้ในหนังสือ “ชีวิตการเมือง”

     “หลังจากจัดการเรื่องที่ดินแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปพบอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้เป็นปรมาจารย์ของกรมศิลปากรในด้านประติมากรรม ขอให้ท่านช่วยทำหุ่นจำลองอนุสาวรีย์ขึ้น โดยมีรูปปั้นสุนทรภู่เป็นหลัก มีรูปปั้นพระอภัยมณี นางมัจฉา และผีเสื้อสมุทรเป็นส่วนประกอบ”
     ซึ่งอาจารย์ศิลป์ให้ความร่วมมืออย่างดี เขียนโครงร่างอนุสาวรีย์และปั้นอนุสาวรีย์จำลองสูงประมาณ 40 เซนติเมตร พร้อมหล่อรูปปั้นเป็นโลหะเป็นแบบไว้

     แต่การสร้างอนุสาวรีย์นี้ก็มีอุปสรรค เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 ทำให้การดำเนินการสร้างล่าช้าออกไป จนกระทั่ง พ.ศ. 2511 คณะรัฐมนตรีซึ่งมีจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างโดยให้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบ และหล่อรูปอนุสาวรีย์ ตลอดจนวางแผนผังอนุสาวรีย์ด้วย ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ออกแบบและควบคุมการปั้นและหล่อรูป คือ สนั่น ศิลากร ประติมากรผู้ปั้นรูปที่สนั่น ศิลากร คัดเลือกมาคือ สุกิจ ลายเดช ปั้นรูปสุนทรภู่ ไกรสร ศรีสุวรรณ ปั้นรูปพระอภัยมณี สาโรช จารักษ์ ปั้นรูปนางเงือก คนสุดท้ายที่คัดเลือกให้ปั้นรูปนางผีเสื้อสมุทรคือศิลปบัณฑิตที่เพิ่งจบหมาดๆ ชื่อธนะ เลาหกัยกุล


[คัดจาก ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 25 ฉบับที่ 3 มกราคม 2547 หน้า 151-159)

กรุงเทพฯ บ้านเกิดของสุนทรภู่ มหากวีกระฎุมพี ผู้ดีบางกอก(ภาพจากสมุดภาพแห่งกรุงเทพมหานคร 220 ปี. สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร,2546)


สุนทรภู่ มหากวีกระฎุมพี เกิดในวังหลัง เป็นผู้ดีบางกอก

สุนทรภู่ มีชีวิตวนเวียนอยู่ใน “วัง” กับ “วัด” เริ่มตั้งแต่ เกิด–โต–บวช–ตาย
    เกิด – วังหลัง สมัย ร.1,
    โต – วังหลวง สมัย ร.2,
    บวช – วัดหลวง สมัย ร.3,
    ตาย – วังหน้า สมัย ร.4

สุนทรภู่เกิดที่วังหลัง คลองบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี ในต้นแผ่นดิน ร.1 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า

คนทั่วไปถูกทำให้รู้มานานแล้ว ว่าสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ เกิดที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ปัจจุบันอยู่ใน จ.ระยอง ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องไม่จริง แต่สร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ด้วยเหตุผลทางการเมือง และการท่องเที่ยว สุนทรภู่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นอาลักษณ์ ขี้เมา เจ้าชู้ อยู่อย่างไพร่ ไร้เคหา ได้แต่ลอยเรือร่อนเร่ไปมา แล้วทะเลาะกับ ร.3 นี่ก็ล้วนเป็นเรื่องไม่จริงที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง


แผนที่กรุงเทพฯ (ยุคต้น แสดงตำแหน่งวัดเทพธิดาราม และสถานที่เกี่ยวข้องสุนทรภู่


แท้จริงแล้วสุนทรภู่เป็นผู้ดีมีตระกูลสืบมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แล้วใกล้ชิดพระราชวงศ์จักรี ตัวตนแท้จริงของสุนทรภู่มีอาชีพรับราชการ เป็นนักปราชญ์ประจำราชสำนัก ร.2 มีความสามารถพิเศษทางกวีนิพนธ์ แต่ไม่ได้มีอาชีพเป็นกวี เพราะยุคนั้นไม่มีอาชีพกวี สุนทรภู่ฝักใฝ่ทางการเมืองในเจ้าฟ้ามงกุฎ จนขัดแย้งกับ ร.3 เลยต้องออกบวชหนีราชภัย ย่อมเป็นพยานว่าไม่มีโอกาสกินเหล้าเมามายเลยแม้แต่น้อย เพราะอยู่ในสายตาของรัฐ และในความอุปการะของเจ้านายชั้นสูงตลอดชีวิต แล้วแต่งหนังสือหลายเรื่องเป็นที่รู้กัน


สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่เป็นวังหลวง วังหน้า วังหลัง ที่สุนทรภู่มีชีวิตวนเวียนเกี่ยวข้อง (ภาพจากเครื่องบินมองจากฝั่งธนบุรีและมองจากฝั่งกรุงเทพฯ) (ภาพจาก สมุดภาพแห่งกรุงเทพมหานคร 220 ปี, สำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร, 2546)


ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ
ที่มา : มติชนออนไลน์
เผยแพร่ : 22 มิ.ย. 59
http://www.matichon.co.th/news/184324
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 23, 2016, 10:25:21 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ