ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การสร้างปัญญาบารมี  (อ่าน 939 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
การสร้างปัญญาบารมี
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2016, 07:52:50 am »
0





การสร้างปัญญาบารมี

วันนี้เป็น วันอาสาฬหบูชา วันสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ทรงประกาศพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ด้วยการแสดง ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่ทรงตรัสรู้แก่ ปัญจวัคคีย์ เป็นครั้งแรกจน ท่านโกณฑัญญะ บรรลุธรรมสำเร็จเป็น พระอรหันต์ และอุปสมบทเป็น พระภิกษุองค์แรก

สิ่งที่ พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้คือ อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่ผมเขียนถึงบ่อยๆ

 st12 st12 st12 st12

วันนี้ผมจะเขียนถึง “ปัญญาบารมี” หนึ่งใน 10 บารมีที่ พระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญมาก่อนที่จะตรัสรู้ซึ่งประกอบด้วย

1. ทานบารมี การสละออก หรือการให้ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่น
2. ศีลบารมี การรักษาศีลให้เป็นปกติ ฆราวาสหมายถึงศีล 5 ผู้ออกบวช หมายถึงศีล 8 ขึ้นไป
3. เนกขัมมะบารมี การออกบวช ถ้าฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมมะบารมีได้ เพราะเว้นจากกามสุข
4. ปัญญาบารมี การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็น ปัญญาทางโลก และ ปัญญาทางธรรมการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้
5. วิริยะบารมี การใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง ทำอยู่เรื่อยๆ ทำทีละน้อยตามกำลัง จนกว่าจะสำเร็จ
6. ขันติบารมี การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ
7. สัจจะบารมี การรักษาคำพูด แม้จะต้องสละบางอย่างเพื่อรักษาคำพูดเอาไว้ก็ตาม
8. อธิษฐานบารมี การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตใจให้มั่นต่อคำอธิษฐาน
9. เมตตาบารมี การมีความปรารถนาดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียมกัน เมตตาแตกต่างจากราคะตรงนี้ ราคะ เป็นการรักเฉพาะตัวและพวกพ้อง แต่ เมตตา เป็นการรักที่ไม่แบ่งแยก
10. อุเบกขาบารมี การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาดแก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตนและสัตว์ทั้งหลาย เพราะมีปัญญาเห็นว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม

ในแต่ละบารมี ยังมีแยกย่อยออกเป็นบารมีละ 3 ขั้น รวมเป็น 30 ขั้น


 :25: :25: :25: :25:

ในวันนี้ผมจะเล่าถึงเฉพาะ “ปัญญาบารมี” เรื่องเดียว เพราะรู้สึกว่าสังคมไทยวันนี้ยังขาดปัญญาบารมีเยอะมาก จึงทำให้สังคมมีปัญหาไปหมด และไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ไม่รู้จะแก้ปัญหาอะไรก่อนหลัง การใช้อำนาจที่ขาดปัญญา จะทำให้สังคมยิ่งมีปัญหามากขึ้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงเทศน์ให้เห็นถึง ความสำคัญของการพัฒนาปัญญา ไว้มาก โดยเฉพาะ “วิธีการฝึกปัญญา” เช่นเดียวกับ พระพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี จนรู้แจ้งตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง คนเราเมื่อมีปัญญา มีความรู้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้มีหูตาสว่างขึ้น มีจิตใจสว่างขึ้น ไม่ถูกหลอกลวงทางอายตนะได้ง่าย

 st11 st11 st11 st11

สมเด็จญาณฯ ท่านสอนว่า การฝึกปัญญา จะต้อง บริหารจิตให้มีสมาธิ ตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ เพราะจิตเกี่ยวโยงไปทุกเรื่อง การฝึกปัญญาให้เพิ่มขึ้นทำได้ 3 อย่าง คือ

    1. ฝึกปัญญาด้วยการฟัง การอ่าน การเขียน การจดบันทึก รวมทั้งการรู้ผ่านอายตนะทางอื่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย โดยอาศัยอายตนะทั้ง 5 ในการเสริมความรู้ให้มากขึ้น สมัยโบราณไม่มีตัวหนังสือ จึงต้องอาศัยหูในการฟังเป็นสำคัญ จึงได้ยกเอาการสดับฟังขึ้นมาเป็นทางให้เกิดปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน และจมูกลิ้นกายเหล่านี้รวมเรียกว่า สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง
    2. ฝึกปัญญาด้วยการคิด อาศัยความคิดในการคิดค้นพิจารณา จับเหตุจับผลที่ถูกต้อง ก็เป็นทางให้เกิดปัญญา เรียกว่า จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากความคิดพิจารณา
    3. ฝึกปัญญาด้วยการปฏิบัติ เมื่อลงมือปฏิบัติ ก็จะได้ความรู้ที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง แต่การลงมือปฏิบัติจะต้องกำหนดหัวข้อสำคัญไว้ก่อน 2 อย่าง คือ
         3.1 การละ หมายถึงการละในสิ่งที่ควรละ และสิ่งห้ามต่างๆ เช่น การละเสพสุรายาเสพติด
         3.2 ทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น เรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติทำให้มีขึ้นเป็นขึ้น

ผมก็สรุปมาให้แบบสั้นที่สุด ไปลองฝึกกันดูนะครับ “ปัญญาบารมี” จะได้เพิ่มขึ้น มีความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น สังคมและประเทศชาติจะได้เจริญขึ้น.


          “ลม เปลี่ยนทิศ”



คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย โดย ลม เปลี่ยนทิศ 19 ก.ค. 2559
http://www.thairath.co.th/content/666509
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ