ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "จัดระเบียบคณะสงฆ์"ภายใต้รธน.ฉบับประชามติ  (อ่าน 1166 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29435
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0





"จัดระเบียบคณะสงฆ์"ภายใต้รธน.ฉบับประชามติ

หากรัฐจะตั้งใจสนับสนุนส่งเสริม “นิกายเถรวาท” จริง ช่วยเข้าไปจัดตะเบียบ “พระปลูกเสก พระใบ้หวย พระดูหมอ” เพื่อไปพัฒนาจิตใจและปัญญาก่อนดีไหม คนจะได้ไม่งมงาย

ทั่วโลกรับรู้ว่า “พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท” ใน ประเทศไทย มีความเข้มแข็งมาก และผู้คนทั่วโลกกำลังเฝ้ามอง ประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนา “นิกายเถรวาท”

ซึ่งสัมผัสได้ว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร กำลังมีกลิ่นอายแห่งความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “สังฆราช” ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่รัฐเข้าไปจัดระเบียบ “วัด สำนักสงฆ์” หรือแม้กระทั้ง ความน้อยใจของกลุ่มชาวพุทธในบางกลุ่มที่มีต่อรัฐในการ “ดูแลชาวพุทธในภาคใต้”

พลันที่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ ผ่านความเห็นชอบของประชาชน “ยิ่งต้องจับตา” โดยเฉพาะ “มาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”



รัฐธรรมนูญทั้งฉบับปี 40 และปี 50 เชิงบังคับว่ารัฐ “ต้อง” และ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ใช้คำว่า “พึง” หมายความว่า “ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ใช่หรือไม่” และต่อมาประเด็นที่จะกลายเป็นข้อถกเถียงในวงการคณะสงฆ์มากที่สุด อีกกรณีหนึ่งคือว่า รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนา “เถรวาท”

ได้มีโอกาสคุยกับ “คณะสงฆ์” จากนิกายมหายานทั้ง “จีนนิกายและอนัมนิกาย” ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ที่ทางการไทยรับรองไว้ตอนนี้เกิดอาการ “จิตวิตก” น้อยใจ เพราะต่อจากนี้ไป ไม่รู้ว่ารัฐจะอุปถัมภ์ สนับสนุนอย่างไรบ้างหรือจะปล่อยไป “ตามมีตามเกิด” หรือรัฐคิดว่าทั้ง 2 นิกายนี้ มีญาติโยมผู้อุปถัมภ์ “เข้มแข็ง” อยู่แล้ว ก็ต้องรอดูกฎหมายลูกต่อไปว่าจะมีทางออกกันอย่างไร?

“คณะสงฆ์ไทย” ประมาณ 3 แสนรูป เป็นคณะสงฆ์เถรวาท แบ่งออกเป็น 2 นิกายใหญ่ คือ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย หากรัฐจะส่งเสริม สนับสนุนเถรวาท ก็ต้องถามต่อว่า จะเข้าไป “จัดระเบียบคณะสงฆ์” อย่างไร เพราะในหมู่ “คณะสงฆ์” เองตอนนี้ มี “เจ้าสำนัก” มากมาย อะไรคือบรรทัดฐานคำสอนในการจัดระเบียบ ในการส่งเสริมและเผยแผ่หลักธรรมของ คณะสงฆ์เถรวาท



อันดับแรกหากรัฐจะตั้งใจสนับสนุนส่งเสริม “นิกายเถรวาท” จริง ช่วยเข้าไปจัดตะเบียบ “พระปลูกเสก พระใบ้หวย พระดูหมอ” เพื่อไปพัฒนาจิตใจและปัญญาก่อนดีไหม คนจะได้ไม่งมงาย ใน “ลัทธิรอผลดลบันดาล” หรือตัวฆราวาสเองต้อง “ปฎิรูปตัวเอง” ด้วย เพื่อให้มีจิตใจและปัญญาที่ถูกต้อง

เวลามีงานอะไรก็ตามที “ห้ามพระเจิม ห้ามพระพรมน้ำมนต์” หรือต้อง “ห้ามสะเดาะเคราะห์” ด้วยดีไหม และเพราะสิ่งเหล่านี้ “พุทธแท้” ไม่น่ามี หรือหากรัฐจะไปส่งเสริมแบบ “พุทธเพียว” จะไปงมเข็มหาได้ที่ไหน

เรื่องการบรรจุคำว่าเถรวาทนี้ไว้ มีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญบางคน ก็บอกว่า เพราะต้องการรักษา “พุทธศาสนาเถรวาท” เอาไว้ ก็เพราะสมัยก่อนเรื่องเกี่ยวกับศาสนาอาจไม่อ่อนไหวเหมือนปัจจุบัน ปัจจุบันถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสถาบันศาสนาทั่วโลก เกิดลัทธิ นิกาย พิธีกรรมแปลกๆ ใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องเขียนไว้ให้เป็นหน้าที่ของรัฐเพื่อรักษาพุทธแท้เอาไว้...



และวรรคต่อมาในมาตรา 67 ระบุว่า “ต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใดและพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”

ตรงนี้แน่นอนว่ารัฐต้องออก “กฎหมายคุ้มครองและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา” ตามข้อเรียกร้องของชาวพุทธมาอันยาวนาน ส่วนการอุปภัมถ์และคุ้มครองจะออกมาในรูปแบบใด คงต้องให้หลายฝ่ายช่วยกันคิด ช่วยกันหาวิธี เพราะปัจจุบันการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนามีมากมาย ทั้งบิดเบือนคำสอน ทั้งรุกคืบทางกฎหมาย ทั้งปลอมตัวเข้ามาบวช หรือบางรูปบวชถูกต้องแต่กลายเป็นผู้ทำลาย “พุทธศาสนา” เสียเองก็มีถมเถไป

แต่ที่สำคัญกว่าใน ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นครั้งแรกที่ให้ “พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา” ก็คงสมใจกลุ่มฆราวาสที่ต้องการ “ปฎิรูปพระพุทธศาสนา” มิใช้น้อย



คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง โดย “ เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
เครดิตภาพ..เพจ สมาคมศิษย์เก่า มหาจุฬาฯ
ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/514629
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ