ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พศ.เตรียมรายงานมหาเถรฯ ม.44 คุ้มครองศาสนา  (อ่าน 982 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




พศ.เตรียมรายงานมหาเถรฯ ม.44 คุ้มครองศาสนา

รอง ผอ.พศ.เผย มอบคณะทำงานศึกษารายละเอียดคำสั่ง คสช. มาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย เร่งสรุปมาตรการที่ต้องทำ เตรียมรายงาน มส.รับทราบ ก่อนรายงานนายกรัฐมนตรี ขณะที่เจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์ฯ ตั้งข้อสังเกตออก ม.44 มาคุ้มครองหรือควบคุม

ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2559 เรื่องมาตรการอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาต่างๆในประเทศไทย โดยมอบหมายให้พศ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดมาตรการและกลไกในการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ของศาสนิกชนของทุกศาสนา เพื่อประโยชน์ของการปฏิรูปประเทศ และให้รายงานความคืบหน้าการทำงานทุก 3 เดือนต่อนายกรัฐมนตรีนั้น วันนี้( 23 ส.ค.) นายชยพล พงษ์สีดา รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)  กล่าวว่า ในส่วนของพศ.ได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ซึ่งพศ.ได้เตรียมพร้อมข้อมูลและหารือกับคณะทำงานของพศ. โดยมีสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(สถ.)เป็นส่วนงานหลัก เพื่อดูรายละเอียดของคำสั่งว่า สั่งการให้พศ.ทำอะไรบ้าง รวมทั้งสรุปความเห็นของคณะทำงานไว้ในการนำเสนอต่อนายพนม ศรศิลป์ ผอ.พศ.ว่าจะมีความเห็นเช่นไร เนื่องจากผอ.พศ.ยังติดราชการในต่างประเทศ ก่อนที่จะหารือต่อมหาเถรสมาคม(มส.) และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลพศ. จากนั้นจะสรุปเป็นมาตรการเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป


 :96: :96: :96: :96:

ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามคำสั่งดังกล่าวถ้ามองดูเพียงผิวเผินดูเป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายรัฐจะเข้ามาช่วยให้กิจการภายในระหว่างศาสนาทุกศาสนามีความสัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้น ขณะที่หนึ่งปีที่ผ่านมาคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการพิทักษ์ปกป้องพระพุทธศาสนา พยายามผลักดันปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนามาโดยตลอดนั้น บัดนี้แนวทางทั้งหมดได้ถูกผลักดันให้เขียนลงไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับประชามติเมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎในมาตราที่ 67 และมาปรากฏชัด คือ การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตราที่ 44 นี้ จึงต้องขอถามว่าจะช่วยอุปถัมภ์คุ้มครองหรือควบคุมกิจการภายในของศาสนา โดยเฉพาะคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เช่น การให้องค์กรพุทธ โดยเฉพาะศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ต้องรายงานกิจกรรม ประวัติและความเป็นมา เพื่อส่งให้หน่วยงานของรัฐโดยด่วน  เป็นต้น

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวอีกว่า สำหรับในศาสนาอื่นนั้นคงไม่มีผลกระทบใดๆ เพราะรัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามภายในกิจการของเขาได้เหมือนในพระพุทธศาสนา แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ มีเหตุอะไรที่เร่งด่วนด้านศาสนา จึงต้องสั่งการให้รายงานผลในทุก 3 เดือน และขอถามต่อไปอีกว่าขณะนี้ภาครัฐสงสัยหรือหวาดระแวงอะไรเป็นพิเศษในกลุ่มพี่น้องชาวพุทธหรือไม่ เพราะถึงขนาดสั่งการให้องค์กรของชาวพุทธต้องรายงานอะไรต่อมิอะไรให้หน่วยงานรัฐทราบโดยด่วน แล้วเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องในหลายๆ เรื่องพร้อมกันทั่วประเทศนั้นจะตอบคำถามเหล่านี้ว่าอย่างไร เช่น ขอให้ออกกฎหมายนมัสการสังเวชนียสถาน กฎหมายธนาคารพระพุทธศาสนา กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นต้น หรือแม้แต่การเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ กลับไม่เห็นมีท่าทีที่จะอ่อนน้อม ห่วงใย เอาใจใส่จากภาครัฐเหมือนในกรณีที่เร่งออกคำสั่งพิเศษนี้ นอกจากท่าทีที่แข็งกร้าว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไร้ความเคารพ ดังนั้น เราชาวพุทธต้องอดทน เข้มแข็งและสามัคคีกันไว้เพื่ออนาคตของพระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย


ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/518931
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ