คำถาม ๆ ไม่ถูก
การบวช ไปร่วมงานบวช อนุโมทนากับงานบวช ร่วมขบวนงานบวช เป็นเจ้าภาพงานบวช บริจาคช่วยเหลืองานบวช และหรือในทางกุศล กับงานบวช เป็นบุญทั้งหมด
ถ้าจะถามอุ้มผ้าไตร หรือ บริวารอัฏฐบริขาร นั้นมันก็ต้องเป็นบุญอยู่แล้ว
แต่การได้อุ้มผ้าไตร อุ้มหมอน ถือสัปปะทน พวกนี้มีอานิสงค์เป็นเรื่อง อยู่ใตชาดก คนตอบ ๆ กว้างไปจึงทำดูเหมือนเป็นปัญญา อุ้มถืออะไร ก็มีบุญเท่ากัน อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องเล่าชาดกออกมาเป็นเรื่องให้เสียเวลา กระจายอานิสงค์ให้ถูกเรือ่ง
คนทุกวันนี้ก้เลยเข้าใจผิด ว่าทำอะไรเป็นบุญก็ได้อานิสงค์เหมือนกัน พระพุทธเจ้า ตรัสแสดงอานิสงค์ บุญไม่เหมือนกัน แต่ได้บุญเช่นกัน สงเคราะห์ตาม บุญกิริยาวัตถุ 10
ผู้ให้ปัญญาเป็นบุญ ย่อมได้ปัญญาเป็นอานิสงค์ หมายความเกิดมามีปัญญาดี แต่ไม่ได้บอกว่า ฐานะดี
ผู้ให้ทานย่อมได้ โภคทรัพย์เป็นอานิสงค์ หมายความเกิดมาเป็นคนมีฐานะ แต่ไม่ได้บอกว่า มีปัญญาฉลาด
อย่างนี้เป็นต้น
สำหรับการอุ้มผ้าไตร เป็นบุญ 4 อย่าง คือ ปัตตานุโมทนามัย เวยยาวัจจมัย ธรรมเทศนามัย ทิฏฐุชุกัมม์ อานิสงค์ ที่แสดงในชาดก กล่าว่า เมื่อจะอุปสมบถ ก็จะมีผู้ช่วยเหลือไม่ลำบาก มีกัลยาณมิตรเป้นพระอริยะ ถ้าฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จะได้บรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา จะมีจีวรเกิดด้วยอำนาจฤทธิ์ และเมื่อเกิดทุกชาติที่มีพรพุทธศาสนาอยู่ก็จะได้เกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาเจริญ และได้ฟังธรรมจากพระอริยะ เสมอๆ
ดังนั้นการอุ้มผ้าไตร สำหรับลูก จึงสมควรยกให้คุณแม่ เพราะว่ามีอานสงค์อย่างนี้ เนื่องด้วยแม่เป็นเพศหญิง การเข้าหาธรรม หาพระเป็นเรื่องลำบาก ลูกกตัญญูย่อมมอบอานิสงค์ให้อย่างนี้
ส่วนผู้ได้อุ้มผ้าไตร นั้นถือว่าได้รับเกรียติ ดังนั้นคนไปมองเรื่องพวกนี้ แบบปัญญามากไปจึงทำให้ไม่เข้าใจในอานิสงค์ของแต่ละเรื่อง บางอย่างไม่ใช่ประเพณี แต่มีประเพณีมาจากอานิสงค์ชาดกในพระไตรปิฏก นั่นเอง
