ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สังคมก้มหน้ากับอาการขาดมือถือ(Nomophobia) หรือเสพติดมือถือ(Mobile Phone Addict)  (อ่าน 928 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



สังคมก้มหน้า กับ อาการขาดมือถือ (Nomophobia) หรือเสพติดมือถือ (Mobile Phone Addict)

ประเทศไทยนับเป็นประเทศขนาดกลางของโลก ซึ่งมีประชากรไม่ถึง 70 ล้านคน แต่ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศไทยที่มีประชากรไม่ถึง 70 ล้านคนนั้น มีการใช้เลขหมายโทรศัพท์มือถือมากกว่าจำนวนคนเสียอีก นั่นหมายความว่า คนไทยมีโทรศัพท์มือถือใช้กันแทบทุกคน โดยที่บางคนมีโทรศัพท์มือถือใช้มากกว่าหนึ่งเครื่อง และยังมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เป็นเรื่องจริงของสังคมไทยคือ ประเทศไทยมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมทั้งไลน์ (line) และเฟซบุ๊ก (Facebook) มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (Top ten) มากกว่าหลายๆ ประเทศที่มีประชากรเกินร้อยล้านคน และเกือบทั้งหมดใช้สื่อสังคมออนไลน์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ จึงนับได้ว่า สังคมไทยเป็น “สังคมก้มหน้า” อย่างแท้จริง

ในปัจจุบันมีการศึกษาพฤติกรรมการใช้มือถือในยุโรปพบว่า มีคนจำนวนมากมีอาการทางจิตในระดับขาดมือถือไม่ได้ และมีศัพท์เรียกอาการนี้ว่า “อาการขาดมือถือ (Nomophobia; No Mobile Phone Phobia) หรือการเสพติดมือถือ (Mobile Phone Addict)” ซึ่งแล้วแต่จะเรียก แต่ลักษณะอาการที่แสดงออกอย่างชัดเจนคือ ต้องมีมือถืออยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา (ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน) และจะต้องเปิดหน้าจอมือถือดูเป็นระยะๆ (มากกว่าวันละ 30 ครั้ง) จะมีอาการกระวนกระวายและขาดสมาธิไปจนถึงขั้นหงุดหงิด หากไม่มีมือถืออยู่ใกล้ตัวหรือแบตเตอรี่หมด ให้ความสำคัญต่อมือถือยิ่งกว่ากระเป๋าสตางค์ เพราะมักเลือกที่จะทำธุรกรรมแทบทุกอย่างผ่านทางมือถือ การเปิดหน้าจอดูมือถือมักจะกระทำทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส ระหว่างพักงานหรือประชุม ระหว่างรอเวลา ระหว่างรถติด ขณะเดิน ขณะรับประทานอาหาร ขณะเข้าห้องน้ำ และอื่นๆ ส่วนพฤติกรรมในการเปิดดูมือถือนั้นจะไม่สนใจถึงสถานที่และสภาพแวดล้อม และมักพูดหรือรำพึง ยิ้มหรือหัวเราะตามลำพัง โดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างว่าสถานการณ์โดยรอบจะเป็นเช่นไร บางครั้งกระทำในโรงมหรสพ ในที่ประชุม ในห้องเรียน หรือแม้แต่ในวัดในโบสถ์ขณะที่มีพิธีกรรมอยู่

ที่หนักที่สุดคือ กระทำขณะเดินข้ามถนน ขับรถ หรือขณะอยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งปรากฏเหตุการณ์เป็นข่าวให้เห็นเสมอๆ

สําหรับสถานการณ์ของสังคมไทยในวันนี้ แม้ยังไม่มีรายงานการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ดูๆ แล้วนับวันยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะมีคนจำนวนมากที่มีอาการดังกล่าว ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งสามารถเห็นได้โดยทั่วไป ทั้งจากคนใกล้ตัว ในบ้าน ที่ทำงาน และในที่สาธารณะ โดยเฉพาะการใช้สื่อออนไลน์อย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่เพียงแค่ใช้เพื่อความบันเทิงส่วนตนเป็นหลักแล้ว แต่ยังใช้ในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภัยต่อสังคมด้วย เช่น การสร้างค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง การโฆษณาชวนเชื่อ การสร้างความเข้าใจผิด การสร้างความแตกแยก และการส่งจดหมายลูกโซ่ เป็นต้น

 :96: :96: :96: :96:

ถึงตรงนี้ ก่อนที่ท่านจะไประบุชี้ว่าใครมีอาการขาดมือถือหรือเสพติดมือถือบ้าง ทุกท่านคงต้องหันมาพิจารณาตนเองก่อนว่าท่านมีอาการเช่นนั้นด้วยหรือไม่? หากท่านก็เป็นคนหนึ่งที่มีอาการดังกล่าว ขอให้ท่านทราบไว้ในเบื้องต้นว่านี่คือต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยทางกายของท่าน ดังนี้

1.เจ็บตาแสบตาบ่อยๆ นั่นเป็นเพราะท่านใช้สายตาหนักมากเกินไป จากการต้องเพ่งสายตาดูหน้าจอมือถือที่มีตัวอักษรเล็กๆ ถี่ๆ หรือดูคลิปภาพเคลื่อนไหวบ่อยๆ หรือเป็นเพราะท่านชอบดูมือถือขณะเดินหรือนั่งอยู่ในรถ หรือบางครั้งท่านเผลอเพ่งดูในที่ที่มีแสงน้อยเกินไป

2.ปวดต้นคอ ไหล่ และหลัง นั่นเป็นอาการหลักของคนในสังคมก้มหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการก้มดูหน้าจอมือถือทั้งวันนั่นเอง

3.ระบบทางเดินอาหารแปรปรวน ทั้งนี้จากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือนั่งแช่อยู่ในห้องน้ำเป็นเวลานานเกินควร เพราะติดพันอยู่กับการใช้มือถือนั่นเอง

อาการเจ็บป่วยทางกายทั้งสามอาการนี้ ในเบื้องต้นค่อนข้างเชื่อได้ว่าเป็นผลพวงมาจากอาการเสพติดมือถืออย่างแน่นอน แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ท่านจะมีอาการทางภาวะของจิตใจตามมาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ซึ่งกรณีนี้ยากที่จะชี้ชัด และท่านเองก็คงไม่ยอมรับ แต่เชื่อได้ว่า ถ้าขนาดเกิดอาการทางกายแล้วจะไม่เกิดอาการทางจิตด้วยคงเป็นไปไม่ได้แน่


 :91: :91: :91: :91:

ยิ่งไปกว่านั้น อาการขาดมือถือหรือเสพติดมือถือนี้ยังมีผลเสียในทางสังคมตามมาด้วยหลายประการ เช่น

การไม่รู้กาลเทศะ เราจะพบเห็นได้เสมอๆ ว่ามีการเผลอปล่อยให้มีเสียงมือถือดังขึ้นในสถานที่และเวลาอันไม่บังควร การใช้มือถือในโรงมหรสพ โรงพยาบาล ในห้องเรียน ห้องประชุม บนเครื่องบิน และปั๊มน้ำมัน หรือในระหว่างพิธีการสำคัญๆ และการเสียมารยาทเผลอกดรับโทรศัพท์ขณะที่ยังพูดคุยเจรจาค้างอยู่ รวมไปถึงการลืมตัวหัวเราะหรือพูดโทรศัพท์เสียงดังในสถานที่อันไม่บังควรด้วยความเคยชิน

เสียเวลาในการทำงานและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง สำหรับเรื่องนี้นับเป็นปัญหาใหญ่มากในทุกๆ สำนักงานที่ขาดกฎระเบียบควบคุมการใช้มือถือ เพราะคนเหล่านี้จะขาดสมาธิ ขาดความมุ่งมั่นต่องานที่ทำ เกิดความบกพร่องผิดพลาดบ่อยๆ เพราะจิตใจจดจ่อแต่อยู่กับมือถือ ดังนั้น ผู้ที่ต้องทำงานในสถานที่หรือสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจึงต้องมีกฎห้ามใช้มือถือโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับกฎหมายจราจรที่ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ยานพาหนะนั่นเอง

สร้างปัญหาสังคมโดยไม่รู้ตัว มีหลายคนที่มุ่งรับและส่งข่าวสารโดยไม่ได้ใช้วิจารณญาณกลั่นกรองอย่างจริงจัง เหตุเพราะต้องการแสดงตนว่าเป็นคนทันสมัยทันเหตุการณ์ ทำให้เกิดการแพร่กระจายข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่โต หรืออาจเกิดเป็นความผิดทางกฎหมายได้

นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดเรื่องไร้สาระจากการตีความในข้อเขียนหรือกระทู้ต่างๆ มากมายในสังคมอีกด้วย

ปัญหาเรื่องนี้ หากปล่อยปละละเลยกันต่อไปเรื่อยๆ นับวันจะยิ่งแก้ไขยากมากยิ่งขึ้น และยังเป็นอันตรายต่อสังคมไทยด้วย เพราะพฤติกรรมผิดๆ ที่กระทำกันเป็นประจำจนเกิดความเคยชิน (ไม่รู้สึกว่าผิด) โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ประพฤติปฏิบัติให้เด็กและเยาวชน (ลูกหลาน) เห็นเป็นประจำนั้น นับเป็นตัวอย่างไม่ดีให้แก่เด็ก เมื่อเด็กๆ เหล่านี้โตขึ้นก็จะกระทำตามพฤติกรรมนั้นๆ หากผู้ใหญ่วันนี้ล้วนมีอาการเสพติดมือถือ ในอนาคตก็จะมีแต่คนเสพติดมือถือไปตามๆ กัน สุดท้ายอาจกลายเป็นอัตลักษณ์ของสังคมไทยไปในที่สุด และเมื่อถึงตอนนั้น หากจะคิดแก้ไขหรือหันมาเข้มงวดเรื่องนี้ก็คงสายไป

มาลองสำรวจตัวเองกันบ้างเถอะว่า ท่านเสพติดมือถือแล้วใช่หรือไม่? ได้เวลาบำบัดกันแล้วหรือยัง?



สุพจน์ เอี้ยงกุญชร คณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
http://www.matichon.co.th/news/391900
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ