ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ด่านเจดีย์สามองค์” มีความสำคัญมาตลอด ตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อน สร้างไว้ทำไม.?  (อ่าน 940 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เจดีย์สามองค์ เห็นธงอยู่ในเขตพม่า


“ด่านเจดีย์สามองค์” มีความสำคัญมาตลอดตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน! แต่ใครสร้าง สร้างไว้ทำไม!!

        เชื่อได้ว่าทุกคนแม้ไม่เคยไปก็ต้องรู้จัก “ด่านเจดีย์สามองค์” สถานที่นี้มีความสำคัญที่มีบันทึกกล่าวถึงมาตั้งแต่ ๒,๐๐๐ ปีก่อน คนที่เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้จักด่านเจดีย์สามองค์แล้ว เพราะทั้งกองทัพไทยและพม่าเดินเข้าออกกันจนท่องไม่ไหว ในวันนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในวันหยุดลองวีคเอนด์ แค่จะเข้าห้องน้ำยังต้องต่อคิวยาว
       
        มีจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์ฮั่นบันทึกไว้ว่า ใน พ.ศ.๖๖๓ มีนักเดินทางจากกรีกและโรมันที่เดินทางมาจีน เมื่อออกจากอินเดียแล้วแทนที่จะอ้อมแหลมมลายู กลับมาทางลัดโดยขึ้นบกที่ทางใต้ของพม่า แล้วเดินทางผ่านช่องเขาที่ต่อมาเรียกกันว่าด่านเจดีย์สามองค์ มาลงเรือที่แม่น้ำแม่กลอง ต่อสำเภาไปจีนที่ปากอ่าว อย่างที่เคยเล่าไว้ในเรื่องตะเกียงโรมันที่พงตึก
       
        ด่านเจดีย์สามองค์จึงมีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคนั้น
       
         :96: :96: :96: :96:

        ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ไทยกับพม่าเริ่มทำสงครามกัน กองทัพทั้งสองประเทศก็เดินทางเข้าออกด่านเจดีย์สามองค์จนนับครั้งไม่ถ้วน แม้จะมีทางเข้าออกกันหลายด่าน แต่ด่านเจดีย์สามองค์ก็ถูกใช้มากที่สุด
       
        เซอร์โทมัส ยอร์ช น็อกซ์ กงสุลอังกฤษคนดังในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนเป็นร้อยเอกตกงานในอินเดีย ก็เดินเท้าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์เพื่อหางานทำในเมืองไทย จนได้เป็นท่านเซอร์
       
        แต่ก็แปลก ไม่มีใครรู้ว่าเจดีย์สามองค์นี้ใครเป็นผู้สร้าง สร้างมาแต่เมื่อใด และสร้างไว้ทำไม
       
         :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

        ไม่มีตำราเล่มไหนบอกเรื่องนี้ไว้ แต่ที่ด่านเจดีย์สามองค์ มีป้ายสีขาวแผ่นใหญ่ป้ายหนึ่งตั้งไว้เด่น มีข้อความว่า
       
        “พระเจดีย์สามองค์
        พระเจดีย์สามองค์นี้ ตั้งอยู่ในตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย เดิมเรียกว่า หินสามกอง เป็นสถานที่สักการะของคนไทยโดยทั่วไป ก่อนจะเดินทางออกจากเขตประเทศไทยเข้าสู่เขตแดนพม่าแต่ครั้งโบราณกาล ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๒ พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีของไทย ได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเป็นเจดีย์สมบูรณ์ ดังที่อยู่ในปัจจุบัน”
       
        แต่ใครเป็นคนกองหินสามกองนั้นไว้ กองมาตั้งแต่เมื่อไร และกองไว้ทำไม ก็ยังเป็นปัญหาที่ต้องหาคำตอบกัน
       
         :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

        กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย” ก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ นอกจากทรงสันนิษฐานจากหลักฐานที่มีทางด้านอื่นๆ นำมาเปรียบเทียบกับเรื่องของเจดีย์สามองค์ไว้ว่า
       
        เมื่อตอนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี กองทัพในกระบวนตามเสด็จไม่ทันหลายกอง สมเด็จพระนเรศวรจะทรงลงโทษนายทัพเหล่านั้นด้วยการประหารชีวิต แต่สมเด็จพระวันรัตทูลขอชีวิตไว้ จึงโปรดให้คนที่มีความผิดสมควรถูกประหารไปตีเมืองทวายและตะนาวศรีไถ่โทษ พระยาจักรีไปตีได้เมืองทวาย ส่วนพระยาพระคลังตีได้เมืองตะนาวศรี เมื่อกองทัพพระยาจักรีกลับจากเมืองทวายเข้ามาทางด่านขะมองส่วย พงศาวดารได้บันทึกไว้ว่า
       
        “....ถึงตำบลเขาสูงช่องแคบแดนพระนครศรีอยุธยากับเมืองทวายต่อกัน หาที่สำคัญมิได้ จึงให้เอาปูนในเต้าไพร่พลทั้งปวงมาประสมกันเข้าเป็นใบสอ ก่อพระเจดีย์ฐานสูง ๖ ศอก พอหุงอาหารสุกก็สำเร็จ แล้วยกเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา”
       
         st12 st12 st12 st12

        เรื่องนี้แม้ไม่เกี่ยวกับเจดีย์สามองค์ แต่ก็ทำให้ทราบประเพณีของแม่ทัพนายกองสมัยก่อนว่า เมื่อไปตีข้าศึกได้ชัยชนะ ตอนกลับเข้ามาถึงเขตแดนไทย ก็จะสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์แสดงความยินดีที่ได้ชัยชนะ หรือยินดีที่กลับมาได้ปลอดภัย หรืออาจจะสร้างเจดีย์เป็นการแก้บนก็ได้
       
        นอกจากนี้ กรมพระยาดำรงฯยังทรงพบอีกว่า ที่เมืองฮอด ซึ่งอยู่ชายแดนเมืองเชียงใหม่กับเมืองตาก ก็มีเจดีย์โบราณขนาดใหญ่สร้างไว้อย่างประณีตเรียงรายอยู่หลายองค์ ซึ่งไม่น่าจะมีใครศรัทธาไปสร้างเจดีย์ไว้ในที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลเมืองเช่นนั้น และเมื่อข้ามเขาเข้ามาในเขตเมืองตาก ก็พบว่ามีวัดร้างแห่งหนึ่งอยู่ที่ดอยแก้ว ใกล้กับจวนของพระเจ้าตากสินเมื่อครั้งเป็นพระยาตาก ประตูหน้าต่างทำซุ้มจรนำแบบวัดหลวง จึงทรงทราบว่าพระเจ้าตากสินมาสร้างใหม่เมื่อเสวยราชย์แล้ว ไม่ใช่โบสถ์เดิม
       
        นอกจากนี้ตามไหล่ดอยแก้วยังมีวัดเก่าอีก ๓ วัดตั้งเรียงราย วัดหนึ่งที่กำแพงมีที่ตั้งตามประทีปเหมือนอย่างพระราชวังลพบุรี ทำให้เชื่อว่าเป็นวัดที่สร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนอีก ๒ วัดก็มีลักษณะเป็นวัดหลวงเช่นกัน

        :25: :25: :25: :25:

        เมื่อสอบในพงศาวดารก็พบว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ ๓ ครั้ง คือในสมัยพระชัยราชาธิราช ซึ่งเป็นเหตุการณ์อยู่ในหนังเรื่อง “สุริโยไท” ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงให้สมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นไปตี กับในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีกครั้ง เท่ากับจำนวนวัดบนไหล่เขาแก้วพอดี คงเช่นเดียวกับที่พระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพข้ามมาตีได้เมืองทางใต้ แล้วกลับไปสร้างเจดีย์ฉลองชัยไว้ที่เมืองฮอด
       
        ถ้าพระเจ้าแผ่นดินยกทัพไปเองก็จะมีเวลาสร้างพระเจดีย์หรือสร้างวัดได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าแม่ทัพนายกองธรรมดาก็ไม่อาจหยุดกองทัพได้นาน มีเวลาแค่หุงข้าวอย่างกองทัพพระยาจักรี ก็ทำได้แค่กองหิน ไม่มีเวลาตกแต่งให้เป็นเจดีย์
       
        ด้วยหลักฐานแวดล้อมเหล่านี้ กรมพระยาดำรงฯจึงทรงสันนิษฐานว่า เจดีย์สามองค์ หรือหินสามกอง ก็คงเป็นแม่ทัพไทยที่ยกไปตีเมืองพม่าได้ชัยชนะกลับมา ๓ กองทัพ กองทัพหนึ่งกลับมาถึงก่อนสร้างไว้องค์หนึ่ง กองทัพที่ตามมาอีก ๒ กองก็สร้างไว้ใกล้ๆ แบบเดียวกัน

        st11 st11 st11 st11

        ส่วนที่เจดีย์ทั้ง ๓ มีลักษณะฐานกว้าง รูปทรงเป็นแบบมอญนั้น อาจเป็นธรรมดาของการกองหินก่อพระเจดีย์ ต้องทำฐานให้กว้างจึงก่อได้ หรือตอนสงครามเก้าทัพ พม่าอาจจะรื้อเจดีย์เก่าออก แต่มอญที่รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ทรงให้ไปตั้งกองอยู่แถวนั้นถึง ๗ เมือง อาจจะสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ ก็เลยเป็นทรงมอญไป
       
        การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์หรือโบราณสถาน ก็ต้องสันนิษฐานไปตามหลักฐานที่พบแบบนี้ เพราะไม่อาจไปถามคนที่เห็นเหตุการณ์จริงได้ สมัยหนึ่งอาจจะเชื่อกันอย่างหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อค้นพบหลักฐานใหม่ก็อาจจะเปลี่ยนความเชื่อไปอีกตามหลักฐานล่าสุดที่พบ เรื่องเก่าๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ใครจะรู้จริงได้
       
        แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันด่านเจดีย์สามองค์วันนี้เปิดเป็นด่านถาวร (ตราบที่พม่ายังไม่เปลี่ยนใจ) ให้เข้าออกไปมาหากันได้ และเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวไทยเข้าไปเที่ยวตลาดพญาตองซูในเขตพม่ากันไม่น้อย โดยเฉพาะในวันหยุด



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000016712
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ